podcast
details
.com
Print
Share
Look for any podcast host, guest or anyone
Search
Showing episodes and shows of
9Natree
Shows
9Natree Thailand
[รีวิว] What to Expect When You're Expecting (Heidi Murkof) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ What to Expect When You're Expecting เขียนโดย Heidi Murkof - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/WhattoExpectWhenYoureExpecting - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/WhattoExpectWhenYoureExpecting - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B07P5JBCFL?tag=9natree-20 #WhattoExpectWhenYoureExpecting #รีวิวWhattoExpectWhenYoureExpecting #สรุปWhattoExpectWhenYoureExpecting #หนังสือWhattoExpectWhenYoureExpecting 1. มีสัญญาณของการตั้งครรภ์ในช่วงแรกอะไรบ้าง นอกจากการขาดประจำเดือน? นอกเหนือจากการขาดประจำเดือนซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดแล้ว ร่างกายของคุณอาจแสดงสัญญาณการตั้งครรภ์อื่นๆ ได้หลายอย่างในช่วงแรก เช่น อาการเต้านมตึงและเจ็บคล้ายกับอาการก่อนมีประจำเดือน แต่รุนแรงกว่า อาจมีเลือดออกเล็กน้อยหรือที่เรียกว่า "เลือดออกฝังตัว" ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเร็วกว่าวันที่คาดว่าประจำเดือนจะมา และมีสีชมพูอ่อนถึงสีชมพูกลาง ไม่ใช่สีแดงเข้มเหมือนประจำเดือน นอกจากนี้ยังอาจมีอาการท้องอืดคล้ายกับก่อนมีประจำเดือน อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นหากคุณกำลังวัดอุณหภูมิ basal body และความเหนื่อยล้าผิดปกติก็เป็นสัญญาณทั่วไปเช่นกัน2. การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ระหว่างตั้งครรภ์มีความสำคัญอย่างไร และมีหลักการพื้นฐานอะไรบ้าง? การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์มีความสำคัญอย่างยิ่งระหว่างตั้งครรภ์เพราะทุกสิ่งที่คุณกินและดื่มจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตและสุขภาพของทารก หลักการพื้นฐานคือการเลือกอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ "Bites count" หมายถึง ทุกๆ คำที่คุณกินเป็นโอกาสในการบำรุงทารก พยายามเลือกแคลอรี่อย่างระมัดระวัง เพราะ "All calories are not created equal" แคลอรี่ 200 แคลอรี่จากโดนัทไม่เหมือนกับ 200 แคลอรี่จากมัฟฟินโฮลเกรน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและโซเดียมสูง และจำไว้ว่า "Starve yourself, starve your baby" การอดอาหารไม่ได้เป็นผลดีต่อการตั้งครรภ์3. มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอะไรบ้างที่อาจเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ นอกเหนือจากการเจริญเติบโตของทารก? ในช่วงไตรมาสแรก นอกเหนือจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของตัวอ่อน มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายหลายอย่างเกิดขึ้นกับคุณ รวมถึงอาการคลื่นไส้อาเจียน ความเหนื่อยล้า การปัสสาวะบ่อยขึ้น การเปลี่ยนแปลงของเต้านม เช่น ขนาดที่ใหญ่ขึ้นและหัวนมที่เข้มขึ้น อาการท้องอืด อารมณ์แปรปรวน อาการปวดหัวบ้าง และอาจมีอาการวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย มดลูกจะขยายใหญ่ขึ้นจากขนาดเท่ากำปั้นเป็นขนาดเท่าส้มโอขนาดใหญ่4. การเปลี่ยนแปลงความต้องการทางเพศระหว่างตั้งครรภ์ถือเป็นเรื่องปกติหรือไม่? เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่งที่ความต้องการทางเพศจะเปลี่ยนแปลงระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ ในบางคน ฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นและการไหลเวียนของเลือดไปยังบริเวณอุ้งเชิงกรานที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้รู้สึกตื่นเต้นทางเพศมากขึ้นและสนุกกับกิจกรรมทางเพศได้มากขึ้น ซึ่งมักจะรุนแรงที่สุดในช่วงไตรมาสแรก ในขณะที่บางคนอาจรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่สบายตัว หรือกังวลเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งทำให้ความต้องการทางเพศลดลง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นเรื่องชั่วคราว และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสื่อสารกับคู่ครองและหาแนวทางที่เหมาะสมและสบายใจสำหรับทั้งคู่5. ควรดูแลสุขภาพช่องปากระหว่างตั้งครรภ์อย่างไร? การดูแลสุขภาพช่องปากเป็นสิ่งสำคัญมากระหว่างตั้งครรภ์เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจทำให้เหงือกบวม แห้ง และระคายเคือง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดคราบจุลินทรีย์และแบคทีเรียมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่โรคเหงือกอักเสบและฟันผุได้ ควรแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันทุกวัน พบทันตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านปริทันต์ หากสงสัยว่ามีฟันผุหรือปัญหาเหงือกอื่นๆ การรักษาโรคเหงือกอักเสบที่ไม่ได้รับการรักษาอาจพัฒนาเป็นโรคปริทันต์ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงกว่าและเกี่ยวข้องกับภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ต่างๆ หากจำเป็นต้องถ่ายภาพรังสี ควรแจ้งแพทย์หรือทันตแพทย์ว่ากำลังตั้งครรภ์เสมอ6. การมีตกขาวเล็กน้อยและมีสีขาวขุ่นระหว่างตั้งครรภ์เป็นเรื่องปกติหรือไม่? ใช่ ตกขาวเล็กน้อย มีสีขาวขุ่น และมีกลิ่นอ่อนๆ หรือที่เรียกว่า leukorrhea ถือเป็นเรื่องปกติในระหว่างตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและการไหลเวียนของเลือดไปยังบริเวณช่องคลอดที่เพิ่มขึ้นทำให้มีการผลิตสารคัดหลั่งมากขึ้น ควรใส่กางเกงชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้ายที่ระบายอากาศได้ดี และหลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอดเนื่องจากจะทำให้สมดุลของจุลินทรีย์ในช่องคลอดเสียไป และอาจนำไปสู่ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรี
2025-05-24
08 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Adult Children of Emotionally Immature Parents (Lindsay C. Gibson) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Adult Children of Emotionally Immature Parents เขียนโดย Lindsay C. Gibson - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/AdultChildrenofEmotionallyImmatureParents - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/AdultChildrenofEmotionallyImmatureParents - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B00TZE87S4?tag=9natree-20 #AdultChildrenofEmotionallyImmatureParents #รีวิวAdultChildrenofEmotionallyImmatureParents #สรุปAdultChildrenofEmotionallyImmatureParents #หนังสือAdultChildrenofEmotionallyImmatureParents 1. ผู้ปกครองที่ยังไม่บรรลุวุฒิภาวะทางอารมณ์คือใคร และส่งผลต่อลูกอย่างไร? ผู้ปกครองที่ยังไม่บรรลุวุฒิภาวะทางอารมณ์ คือผู้ที่ขาดความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการทางอารมณ์ของลูกได้อย่างเพียงพอ พวกเขามักไม่แสดงความเห็นอกเห็นใจ หรือความตระหนักรู้ทางอารมณ์ ไม่สบายใจกับการเข้าใกล้ทางอารมณ์และความรู้สึก มักมีปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงเกินไปต่อเรื่องเล็กน้อย อารมณ์ไม่สม่ำเสมอ และอาจใช้วิธีการเชิงกายภาพหรือวาจาที่ทำร้ายจิตใจ ผู้ปกครองเหล่านี้อาจใช้ลูกเป็นที่ปรึกษา แต่ไม่ใช่ที่ปรึกษาให้ลูก ไม่ใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่น และไม่ค่อยให้ความสนใจหรือความเห็นใจ เว้นแต่เมื่อลูกป่วยหนัก การเติบโตมากับผู้ปกครองที่มีลักษณะเหล่านี้ทำให้เด็กรู้สึกไม่มั่นคง วิตกกังวล และอาจโทษตัวเองสำหรับอารมณ์หรือพฤติกรรมที่ไม่สม่ำเสมอของผู้ปกครอง ซึ่งนำไปสู่ความเชื่อว่าตนเองมีข้อบกพร่องหรือเป็นต้นเหตุของปัญหา2. เด็กที่เติบโตมากับผู้ปกครองที่ยังไม่บรรลุวุฒิภาวะทางอารมณ์มักมีปัญหาเรื่องความมั่นใจในตนเองอย่างไร? เด็กที่ถูกผู้ปกครองปฏิเสธหรือไม่ใส่ใจทางอารมณ์ มักจะคาดหวังว่าผู้อื่นจะปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นเดียวกัน พวกเขาขาดความมั่นใจว่าจะมีใครสนใจพวกเขาจริง ๆ แทนที่จะขอสิ่งที่ต้องการ พวกเขามักจะขี้อายและขัดแย้งในการแสวงหาความสนใจ เชื่อว่าการแสดงความต้องการของตนเองจะเป็นการรบกวนผู้อื่น การคาดหวังการถูกปฏิเสธซ้ำเติมทำให้เด็กเหล่านี้ปิดกั้นตัวเองและส่งเสริมความเหงาทางอารมณ์ในวัยผู้ใหญ่ พวกเขามักจะรู้สึกว่าเป็นภาระหรือน่ารำคาญ ทำให้พวกเขายอมแพ้ง่ายเมื่อต้องการความช่วยเหลือหรือขอสิ่งที่จำเป็น ซึ่งแตกต่างจากเด็กที่มีความมั่นคงทางอารมณ์มากกว่าซึ่งมีแนวโน้มที่จะร้องขอหรือบ่นเพื่อสิ่งที่พวกเขาต้องการ3. "ตัวตนตามบทบาท" และ "ตัวตนที่แท้จริง" คืออะไร และมีความเกี่ยวข้องกับผู้ปกครองที่ยังไม่บรรลุวุฒิภาวะทางอารมณ์อย่างไร? "ตัวตนตามบทบาท" คือตัวตนที่เด็กพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความคาดหวังและความต้องการของผู้ปกครองที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ของพวกเขาได้ เด็กเหล่านี้เรียนรู้ที่จะแสดงบทบาทที่ผู้ปกครองต้องการ เช่น การเป็นเด็กดี การเป็นที่พึ่ง หรือการเป็นผู้ที่ต้องดูแลผู้อื่น เพื่อพยายามได้รับความรักหรือการยอมรับ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ตัวตนที่แท้จริงถูกละเลยหรือไม่ได้รับการพัฒนา "ตัวตนที่แท้จริง" คือแก่นแท้ภายในของบุคคล ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของความเป็นปัจเจกและสัญชาตญาณ โดยไม่ได้รับอิทธิพลจากแรงกดดันของครอบครัว ผู้ปกครองที่ยังไม่บรรลุวุฒิภาวะทางอารมณ์มักไม่เห็นหรือให้ความสำคัญกับตัวตนที่แท้จริงของลูก แต่เน้นไปที่บทบาทที่ลูกควรจะเป็น ซึ่งทำให้เด็กต้องใช้พลังงานไปกับการแสดงบทบาทแทนที่จะพัฒนาตัวตนที่แท้จริงของตนเอง การตระหนักรู้ถึงตัวตนตามบทบาทและตัวตนที่แท้จริงเป็นขั้นตอนสำคัญในการเยียวยาและปลดปล่อยตนเองจากรูปแบบความสัมพันธ์ที่ไม่ healthy ในวัยเด็ก4. ลักษณะเด่นของบุคคลที่มีรูปแบบการเผชิญปัญหาแบบ "Internalizer" คืออะไร? บุคคลที่มีรูปแบบการเผชิญปัญหาแบบ "Internalizer" มักมีลักษณะเด่นคือมีความอ่อนไหวและรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้สูง พวกเขาจะ "จูน" เข้ากับอารมณ์และความต้องการของผู้อื่นและโลกรอบตัวได้อย่างรวดเร็ว พวกเขามักจะคิดถึงอนาคตและกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น พวกเขามองหาทางแก้ไขปัญหาจากภายในตนเอง โดยมักจะถามตัวเองว่า "ฉันจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้สิ่งต่าง ๆ ดีขึ้น?" พวกเขามีแนวโน้มที่จะสะท้อนตนเองและรับผิดชอบปัญหา มักจะคิดก่อนทำ เชื่อว่าอารมณ์สามารถจัดการได้ และสนใจในโลกจิตใจภายในของตนเอง ในความสัมพันธ์ พวกเขามักจะคิดถึงความต้องการของผู้อื่นก่อน พิจารณาการเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อปรับปรุงสถานการณ์ และต้องการการสื่อสารแบบมีปฏิสัมพันธ์ ในการแก้ปัญหา Internalizer อาจรู้สึกผิดง่ายและอาจรู้สึกเหนื่อยล้าจากการพยายามทำสิ่งต่าง ๆ มากเกินไปเพื่อผู้อื่นในความสัมพันธ์5. ลักษณะเด่นของบุคคลที่มีรูปแบบการเผชิญปัญหาแบบ "Externalizer" คืออะไร? บุคคลที่มีรูปแบบการเผ
2025-05-24
08 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Man Search for Meaning (Viktor E. Frankl) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Man Search for Meaning เขียนโดย Viktor E. Frankl - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/ManSearchforMeaning - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/ManSearchforMeaning - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B009U9S6FI?tag=9natree-20 #ManSearchforMeaning #รีวิวManSearchforMeaning #สรุปManSearchforMeaning #หนังสือManSearchforMeaning 1.อะไรคือแก่นหลักของ “Man's Search for Meaning”? หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่การบันทึกข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ในค่ายกักกัน แต่เป็นการเล่าประสบการณ์ส่วนตัวที่เน้นไปที่ชีวิตประจำวันของนักโทษทั่วไปและความทุกข์ทรมานเล็กๆ น้อยๆ เป้าหมายหลักคือการตอบคำถามว่าชีวิตประจำวันในค่ายกักกันสะท้อนอยู่ในจิตใจของนักโทษโดยเฉลี่ยอย่างไร นอกจากนี้ หนังสือยังนำเสนอ Logotherapy ซึ่งเป็นแนวคิดทางจิตวิทยาที่เน้นการค้นหาความหมายในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด 2.Logotherapy แตกต่างจากทฤษฎีจิตวิทยาอื่น ๆ อย่างไร? Logotherapy มองว่าแรงจูงใจหลักของมนุษย์คือ "เจตจำนงสู่ความหมาย" ไม่ใช่เพียงการสนองความต้องการทางสัญชาตญาณหรือการปรับตัวเข้ากับสังคม Logotherapy ถือว่าความตึงเครียดระหว่างสิ่งที่บุคคลบรรลุแล้วกับสิ่งที่ควรกระทำคือสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพจิตที่ดี และนักบำบัดควรท้าทายให้ผู้ป่วยค้นหาความหมายในชีวิตของตน 3.มนุษย์สามารถพบความหมายในชีวิตได้อย่างไรตามหลัก Logotherapy? Frankl กล่าวถึงสามวิธีหลักในการค้นหาความหมายในชีวิต: 1) โดยการสร้างสรรค์ผลงานหรือการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างจริงจัง 2) โดยการสัมผัสประสบการณ์สิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเต็มที่ เช่น ความรัก หรือการชื่นชมความงามของธรรมชาติ และ 3) โดยการยอมรับและเผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างกล้าหาญและมีศักดิ์ศรี 4.“โศกนาฏกรรมแห่งไตรยางศ์” คืออะไร และ “โศกนาฏกรรมแห่งการมองโลกในแง่ดี” เกี่ยวข้องอย่างไร? “โศกนาฏกรรมแห่งไตรยางศ์” หมายถึงแง่มุมโศกนาฏกรรมสามประการของการดำรงอยู่ของมนุษย์ ได้แก่ ความทุกข์ ความผิด และความตาย “โศกนาฏกรรมแห่งการมองโลกในแง่ดี” คือการยังคงมองโลกในแง่ดีได้ แม้จะเผชิญหน้ากับแง่มุมโศกนาฏกรรมเหล่านี้ก็ตาม แนวคิดนี้เชื่อว่าชีวิตยังมีศักยภาพในการมีความหมายได้ภายใต้ทุกเงื่อนไข และมนุษย์มีความสามารถในการเปลี่ยนแง่ลบของชีวิตให้กลายเป็นสิ่งที่ดีหรือสร้างสรรค์ได้ 5.Frankl มองว่าความทุกข์ทรมานมีบทบาทอย่างไร? Frankl ยืนยันว่าความทุกข์ทรมานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สามารถเป็นหนทางในการค้นพบความหมายได้ โดยการเลือกทัศนคติของเราต่อความทุกข์นั้น แม้จะไม่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความทุกข์ได้ แต่เราก็ยังสามารถเลือกที่จะยอมรับชะตากรรมและแบกรับภาระของเราอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งจะเพิ่มความหมายที่ลึกซึ้งให้กับชีวิตของเรา อย่างไรก็ตาม หากความทุกข์สามารถหลีกเลี่ยงได้ การกระทำที่มีความหมายคือการกำจัดสาเหตุของมัน 6.“สุญญากาศทางอัตถิภาวะ” คืออะไร? สุญญากาศทางอัตถิภาวะคือความรู้สึกไร้ความหมายที่เกิดขึ้นเมื่อเจตจำนงสู่ความหมายของมนุษย์ถูกทำให้ผิดหวัง Frankl ชี้ให้เห็นว่าความรู้สึกนี้เป็นปรากฏการณ์ที่แพร่หลายในสังคมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ และอาจนำไปสู่การชดเชยด้วย “เจตจำนงสู่อำนาจ” หรือ “เจตจำนงสู่ความพึงพอใจ” เช่น การแสวงหาความสุขทางเพศที่เกินพอดี หรือการใช้ยาเสพติด 7.“ความรับผิดชอบ” มีความสำคัญอย่างไรใน Logotherapy? Logotherapy เน้นย้ำว่ามนุษย์ถูกตั้งคำถามจากชีวิต และสามารถตอบสนองต่อชีวิตได้โดยการรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเอง ความรับผิดชอบถือเป็นแก่นแท้ของการดำรงอยู่ของมนุษย์ Logotherapy พยายามทำให้ผู้ป่วยตระหนักถึงความรับผิดชอบของตนเองอย่างเต็มที่และปล่อยให้พวกเขาตัดสินใจว่าจะรับผิดชอบต่อสิ่งใด หรือต่อใคร 8.“การตั้งใจแบบย้อนแย้ง” คืออะไร? การตั้งใจแบบย้อนแย้งเป็นเทคนิคของ Logotherapy ที่ใช้ในการบำบัดโรคหวาดกลัวและความผิดปกติแบบย้ำคิดย้ำทำ โดยอ้างอิงจากข้อเท็จจริงที่ว่าความกลัวนำมาซึ่งสิ่งที่กลัว และการตั้งใจมากเกินไป ทำให้สิ่งที่ปรารถนาเป็นไปไม่ได้ เทคนิคนี้คือการให้ผู้ป่วยตั้งใจที่จะกระทำสิ่งที่พวกเขากลัวอย่างจงใจ เพื่อทำลายวงจรของความวิตกกังวลล่วงหน้าและทำให้เกิดผลตรงกันข้าม
2025-05-24
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] The Four Agreements (Don Miguel Ruiz) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ The Four Agreements เขียนโดย Don Miguel Ruiz - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TheFourAgreements - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TheFourAgreements - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0DQVGKBST?tag=9natree-20 #TheFourAgreements #รีวิวTheFourAgreements #สรุปTheFourAgreements #หนังสือTheFourAgreements 1. ตามแนวคิดของ Toltec "ความฝันของโลก" คืออะไร? ตามแนวคิดของ Toltec "ความฝันของโลก" คือความฝันร่วมกันของมนุษยชาติ ซึ่งประกอบด้วยความเชื่อ กฎเกณฑ์ กฎหมาย ศาสนา วัฒนธรรม รัฐบาล และสถาบันทางสังคมทั้งหมดที่กำหนดวิธีที่เรารับรู้และมีปฏิสัมพันธ์กับโลก เราเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการฝัน และสังคมจะสอนเราว่าต้องฝันอย่างไรผ่านกระบวนการที่เรียกว่า "การทำให้เชื่อง" ในกระบวนการนี้ ความสนใจของเราจะถูกจับและข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องเชื่อและไม่เชื่อ สิ่งที่ยอมรับได้และยอมรับไม่ได้ ดีและไม่ดี ถูกและผิด จะถูกปลูกฝังในจิตใจของเราตั้งแต่ยังเด็ก ความฝันของโลกคือสภาพแวดล้อมภายนอกที่หล่อหลอมความฝันส่วนตัวภายในของเรา ซึ่งรวมถึงระบบความเชื่อทั้งหมดของเรา2. กระบวนการ "การทำให้เชื่อง" ของมนุษย์ส่งผลต่อเราอย่างไร? การทำให้เชื่องมนุษย์เป็นกระบวนการที่ระบบความเชื่อของสังคมถูกถ่ายทอดมายังจิตใจของเรา สิ่งนี้เริ่มต้นตั้งแต่เด็ก โดยผู้ใหญ่สอนเราเกี่ยวกับโลกและความคาดหวังทางสังคม เราเรียนรู้ชื่อสิ่งต่างๆ วิธีการประพฤติ และวิธีตัดสินตนเองและผู้อื่น ความโน้มเอียงตามธรรมชาติของเรามักจะสูญเสียไปในกระบวนการนี้ และเราเรียนรู้ที่จะปฏิเสธตนเองเมื่อเราไม่ตรงกับภาพลักษณ์ความสมบูรณ์แบบที่เราได้รับ เรากลายเป็น "สัตว์ที่เชื่องด้วยตนเอง" โดยปฏิบัติตามระบบความเชื่อเดียวกันที่ได้รับมา และใช้ระบบการลงโทษและรางวัลเดียวกันกับตนเอง การทำให้เชื่องสร้าง "หนังสือแห่งกฎหมาย" ในจิตใจของเรา ซึ่งควบคุมการตัดสินและพฤติกรรมของเรา แม้ว่าจะขัดแย้งกับธรรมชาติภายในของเรา3. "ผู้พิพากษา" และ "เหยื่อ" คืออะไรในจิตใจมนุษย์? "ผู้พิพากษา" คือส่วนหนึ่งของจิตใจเราที่ตัดสินทุกคนและทุกสิ่ง โดยใช้ "หนังสือแห่งกฎหมาย" ที่ปลูกฝังไว้ในระหว่างการทำให้เชื่อง ผู้พิพากษาจะตัดสินทุกสิ่งที่เราทำ คิด และรู้สึก เมื่อเราทำสิ่งใดที่ขัดแย้งกับหนังสือแห่งกฎหมาย ผู้พิพากษาจะประกาศว่าเรามีความผิด ต้องถูกลงโทษ และควรละอาย "เหยื่อ" คือส่วนหนึ่งของเราที่ยอมรับการตัดสินของผู้พิพากษา มันแบกรับความผิด การโทษ และความละอาย เหยื่อคือส่วนที่พูดว่า "น่าสงสารฉัน ฉันไม่ดีพอ ฉันไม่ฉลาดพอ ฉันไม่น่าดึงดูดพอ ฉันไม่คู่ควรกับความรัก น่าสงสารฉัน" ผู้พิพากษาและเหยื่อทำงานร่วมกันเพื่อสร้างวงจรของการลงโทษตนเองและความทุกข์ทรมาน ซึ่งมักจะเกินกว่าการละเมิดใดๆ ที่เราได้รับจากผู้อื่น4. "มิทอเต" คืออะไร และเกี่ยวข้องกับมายา อย่างไร? มิทอเต เป็นคำของชาว Toltec สำหรับสภาพของจิตใจมนุษย์ที่สับสนและเต็มไปด้วยความคิด เสียง และความเชื่อที่ขัดแย้งกัน มันเปรียบเสมือนตลาดขนาดใหญ่ที่ผู้คนนับพันกำลังพูดคุยและต่อรองในเวลาเดียวกัน โดยไม่มีใครเข้าใจซึ่งกันและกัน มิทอเตเกิดจากความขัดแย้งของข้อตกลงต่างๆ ที่เราทำไว้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเข้ากันได้ ในอินเดีย มิทอเตเรียกว่ามายา ซึ่งหมายถึงภาพลวงตา มันคือความคิดของบุคลิกภาพเกี่ยวกับ "ฉันคือ" ทุกสิ่งที่เราเชื่อเกี่ยวกับตนเองและโลก แนวคิดและการเขียนโปรแกรมทั้งหมดในจิตใจของเราล้วนเป็นมิทอเต มิทอเตป้องกันไม่ให้เราเห็นว่าเราเป็นใครจริงๆ และทำให้เราไม่เป็นอิสระ5. ข้อตกลงแรกคืออะไร และเหตุใดจึงสำคัญมาก? ข้อตกลงแรกคือ "จงซื่อสัตย์กับคำพูดของคุณ" นี่คือข้อตกลงที่สำคัญที่สุดและยากที่สุดที่จะปฏิบัติตาม คำพูดของคุณคือพลังที่คุณต้องสร้าง มันเป็นของขวัญที่มาจากพระเจ้าโดยตรง ด้วยคำพูด คุณแสดงพลังสร้างสรรค์ของคุณ ไม่ว่าคุณจะพูดภาษาใด ความตั้งใจของคุณก็แสดงออกมาผ่านคำพูด คำพูดสามารถสร้างความฝันที่สวยงามที่สุดหรือทำลายทุกสิ่งรอบตัวคุณ การใช้คำพูดในทางที่ผิดสร้างนรก ในขณะที่ความซื่อสัตย์ของคำพูดสร้างความงาม ความรัก และสวรรค์บนโลก คำพูดคือเครื่องมือแห่งเวทมนตร์ และการใช้คำพูดในทางที่ผิดคือเวทมนตร์ดำ6. การไม่เอาสิ่งต่างๆ มาเป็นเรื่องส่วนตัวช่วยเราอย่างไร? การไม่เอาสิ่งต่างๆ มาเป็นเรื่องส่วนตัว คือข้อตกลงที่สอง มันเกิดขึ้นจากข้อตกลงแรก เมื่อเราไม่เอาสิ่งต่างๆ มาเป็นเรื่องส่วนตัว เราตระหนักว่าสิ่งที่ผู้อื่นพูดหรือทำไม่ได้เกี่ยวกับเรา แต่เกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง ทุกคนมีชีวิตอยู่ในความฝันและจิตใจของตนเองซึ่งแตกต่างจากของเรา การเอาสิ่งต่างๆ มาเป็นเรื่องส่วนต
2025-05-24
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] The New Menopause (Mary Claire Haver MD) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ The New Menopause เขียนโดย Mary Claire Haver MD - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TheNewMenopause - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TheNewMenopause - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0CG8KXWB1?tag=9natree-20 #TheNewMenopause #รีวิวTheNewMenopause #สรุปTheNewMenopause #หนังสือTheNewMenopause 1.ภาวะหมดประจำเดือนคืออะไร และแตกต่างจากวัยหมดประจำเดือนอย่างไร ภาวะหมดประจำเดือน คือ จุดที่ผู้หญิงไม่มีประจำเดือนติดต่อกัน 12 เดือน ซึ่งเป็นจุดที่รู้แน่ชัดเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว ส่วนวัยหมดประจำเดือน คือ ช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนถึงภาวะหมดประจำเดือน ซึ่งประจำเดือนจะเริ่มมาไม่สม่ำเสมอ เป็นช่วงเวลาที่ไม่สามารถคาดเดาได้และไม่มีเกณฑ์การวินิจฉัยที่แน่นอน แพทย์บางคนเรียกว่า "ระยะแห่งความสับสนวุ่นวาย" 2.มีการทดสอบทางการแพทย์เพื่อวินิจฉัยวัยหมดประจำเดือนหรือไม่ ปัจจุบันยังไม่มีการทดสอบเลือด ปัสสาวะ หรือน้ำลายแบบครั้งเดียวที่สามารถวินิจฉัยวัยหมดประจำเดือนได้อย่างแน่นอน เนื่องจากระดับฮอร์โมนในช่วงนี้มีความผันผวนอย่างมาก แม้แต่การทดสอบ DUTCH ที่ได้รับความนิยมก็ยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนความถูกต้องในการวินิจฉัยวัยหมดประจำเดือน การวินิจฉัยมักขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและการตัดโรคอื่นออก 3.ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการแสดงออกของภาวะหมดประจำเดือน การแสดงออกของภาวะหมดประจำเดือนในแต่ละบุคคลแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น พันธุกรรม ปัจจัยการดำเนินชีวิต และอิทธิพลอื่นๆ เช่น น้ำหนัก/ค่า BMI สภาพอากาศ สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม และแม้แต่ความเชื่อและทัศนคติทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับภาวะหมดประจำเดือน 4.ระบบสืบพันธุ์เพศหญิงทำงานอย่างไรในช่วงมีประจำเดือน ระบบสืบพันธุ์เพศหญิงมีความซับซ้อน ประกอบด้วยอวัยวะสำคัญหลายส่วน ได้แก่ ช่องคลอด ปากมดลูก มดลูก รังไข่ ท่อนำไข่ และส่วนอื่นๆ ที่ช่วยในการมีประจำเดือน การพัฒนาของตัวอ่อน และความสุขทางเพศ วงจรประจำเดือนประกอบด้วย 4 ระยะที่เตรียมร่างกายสำหรับการตั้งครรภ์ทุกเดือน ได้แก่: ระยะมีประจำเดือน : ร่างกายขับเยื่อบุมดลูก เลือด และเมือกออก ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะลดลง ระยะฟอลลิเคิล : รังไข่ปล่อยเอสโตรเจนเพื่อทำให้เยื่อบุมดลูกหนาขึ้น ฮอร์โมน FSH จากต่อมใต้สมองกระตุ้นให้ฟอลลิเคิลในรังไข่เติบโต หนึ่งฟอลลิเคิลจะกลายเป็นฟอลลิเคิลเด่นที่เติบโตเป็นไข่ที่สมบูรณ์ ระยะตกไข่ : ฮอร์โมน LH จากต่อมใต้สมองกระตุ้นให้ฟอลลิเคิลเด่นปล่อยไข่ ไข่ที่ว่างเปล่าจะกลายเป็น Corpus Luteum ซึ่งผลิตเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนเพื่อทำให้เยื่อบุมดลูกหนาขึ้นอีก 5.ระยะลูทีน : ไข่เดินทางผ่านท่อนำไข่ไปยังมดลูก หากไม่ได้รับการปฏิสนธิ Corpus Luteum จะสลายไป ระดับโปรเจสเตอ โรนและเอสโตรเจนลดลง ทำให้เยื่อบุมดลูกบางลง และเริ่มระยะมีประจำเดือนอีกครั้ง การลดลงของฮอร์โมนในช่วงนี้อาจทำให้เกิดอาการ PMS รังไข่หยุดทำงานอย่างไรเมื่อผู้หญิงมีอายุมากขึ้น เมื่อผู้หญิงมีอายุมากขึ้น ระบบสืบพันธุ์ก็มีอายุมากขึ้นเช่นกัน การมีประจำเดือนและการตกไข่ตลอดชีวิตทำให้สูญเสียฟอลลิเคิลไปเรื่อยๆ และคุณภาพของไข่ก็ลดลง ความสามารถในการทำงานของรังไข่ลดลงเช่นกัน ทำให้การผลิตฮอร์โมนไม่น่าเชื่อถือ และตอบสนองต่อสัญญาณฮอร์โมนน้อยลง การลดลงนี้จะดำเนินต่อไป ทำให้เกิดการหยุดชะงักของวงจรและอาการขาดฮอร์โมน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน และนำไปสู่อาการต่างๆ เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ ร้อนวูบวาบ วิตกกังวล หัวใจเต้นผิดปกติ และอื่นๆ 6.ควรพิจารณาการบำบัดด้วยฮอร์โมน เมื่อใด หากมีอาการ แพทย์สามารถพิจารณาเริ่มการบำบัดด้วยฮอร์โมนได้ทุกเมื่อในระยะเวลาของการหมดประจำเดือน ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี ซึ่งหมายความว่าสามารถเริ่มใช้ฮอร์โมนบำบัดได้ตั้งแต่ในวัยหมดประจำเดือน และจะได้รับประโยชน์จาก MHT ก่อนประจำเดือนจะหยุด ในช่วงวัยหมดประจำเดือน ระดับเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่ผันผวนมักจะนำไปสู่อาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกกลางคืน อารมณ์แปรปรวน และประจำเดือนมาไม่ปกติ การบำบัดด้วยฮอร์โมนมีประสิทธิภาพสูงในการลดอาการเหล่านี้และปรับปรุงคุณภาพชีวิต แพทย์แนะนำให้ใช้ MHT ทันทีที่มีอาการ หากประโยชน์ outweighs ความเสี่ยงสำหรับแต่ละบุคคล 7.การใช้ฮอร์โมนเพศชาย ในผู้หญิงมีข้อควรระวังอย่างไร การใช้ฮอร์โมนเพศชายในผู้หญิงยังค่อนข้างใหม่และยังไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับระดับ "ปกติ" สำหรับผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนและวิธีที่ร่างกายจะยอมรับการเสริมฮอร์โมนใ
2025-05-23
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Metabolic Freedom (Ben Azadi) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Metabolic Freedom เขียนโดย Ben Azadi - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/MetabolicFreedom - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/MetabolicFreedom - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0DG19GKSV?tag=9natree-20 #MetabolicFreedom #รีวิวMetabolicFreedom #สรุปMetabolicFreedom #หนังสือMetabolicFreedom 1.ภาวะสุขภาพเมตาบอลิซึมที่ไม่ดีมีสาเหตุหลักมาจากอะไร? ภาวะสุขภาพเมตาบอลิซึมที่ไม่ดีส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากปัจจัยหลายอย่าง โดยหลักๆ ได้แก่ การเผาผลาญน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง ความเสียหายของเซลล์ที่เกิดจากการอักเสบ การสัมผัสกับสารพิษจากสิ่งแวดล้อม และอาหารแปรรูป การรับประทานอาหารและขนมขบเคี้ยวตลอดวันจะทำให้ร่างกายส่งสัญญาณให้ "เติบโต" อย่างต่อเนื่องผ่านทางเซ็นเซอร์สารอาหาร เช่น อินซูลิน mTOR และ AMPK ซึ่งขัดขวางกระบวนการเผาผลาญไขมันที่มีประสิทธิภาพ การอักเสบเรื้อรังในเซลล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เยื่อหุ้มเซลล์ อาจรบกวนการสื่อสารของฮอร์โมน สารอาหาร และออกซิเจน ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของเซลล์และการเผาผลาญ นอกจากนี้ การสัมผัสกับสารพิษจากสิ่งแวดล้อมที่เรียกว่า "obesogens" ซึ่งพบได้ในผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน อาหาร และน้ำ สามารถเพิ่มจำนวนและขนาดของเซลล์ไขมัน เปลี่ยนแปลงการเผาผลาญพื้นฐาน และรบกวนฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหาร อาหารแปรรูปซึ่งมักมีน้ำตาลสูง ไขมันที่ไม่เสถียร และสารเคมีอันตราย ก็ส่งผลเสียต่อการทำงานของไมโทคอนเดรีย ก่อให้เกิดการอักเสบ และบ่อนทำลายสุขภาพของลำไส้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอุปสรรคต่อการเผาผลาญที่ดี 2.ความสำคัญของสุขภาพเซลล์ โดยเฉพาะไมโทคอนเดรีย ในการเผาผลาญไขมันคืออะไร? เซลล์ของเราเป็นส่วนสำคัญในการเผาผลาญไขมันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำหน้าที่เป็นระบบการสื่อสารภายในร่างกาย ไมโทคอนเดรีย ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของเซลล์ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการผลิตพลังงานและการเผาผลาญไขมัน เมื่อไมโทคอนเดรียทำงานได้ไม่ดี มักเกิดจากการเผาผลาญน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง เซลล์จะผลิตพลังงานน้อยลงและเผาผลาญไขมันได้ไม่ดีเท่าที่ควร การทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ซึ่งอาจเกิดจากน้ำตาลในเลือดและอินซูลินที่พุ่งสูงขึ้น หรือการบริโภคไขมันที่เสื่อมสภาพ ก็สามารถขัดขวางความสามารถของเซลล์ในการขับสารพิษและรับสารอาหารและฮอร์โมน การทำความเข้าใจและการสนับสนุนสุขภาพของเซลล์ โดยเฉพาะไมโทคอนเดรีย เป็นพื้นฐานในการสร้างการเผาผลาญที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ กลยุทธ์ต่างๆ เช่น การอดอาหาร การใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงานหลัก และการสัมผัสกับความเครียดในระยะสั้นที่เป็นประโยชน์ สามารถช่วยปรับปรุงการทำงานของไมโทคอนเดรียได้ 3.คีโตซิสมีบทบาทอย่างไรในการบรรลุอิสรภาพทางเมตาบอลิซึม? คีโตซิสเป็นกระบวนการเผาผลาญที่สำคัญซึ่งเกิดขึ้นเมื่อร่างกายใช้ไขมัน แทนน้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานหลัก การเปลี่ยนไปใช้คีโตนช่วยลดระดับอินซูลิน ทำให้ร่างกายสามารถเข้าถึงและเผาผลาญไขมันสะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ คีโตซิสไม่เพียงแต่ช่วยในการลดไขมัน แต่ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น ปรับปรุงการทำงานของสมอง ลดการอักเสบ และอาจช่วยในการจัดการสภาวะทางระบบประสาทต่างๆ การเข้าสู่คีโตซิสโดยการจำกัดคาร์โบไฮเดรตอย่างเข้มงวด สนับสนุนการเผาผลาญที่ยืดหยุ่นและเสริมพลังให้กับร่างกายในการใช้ไขมันสะสมเพื่อเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งแตกต่างจากการเป็น "เครื่องเผาผลาญน้ำตาล" ซึ่งต้องบริโภคคาร์โบไฮเดรตอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาระดับพลังงาน 4.การอดอาหารเป็นระยะและรูปแบบการกินอาหารแบบจำกัดเวลาช่วยปรับปรุงสุขภาพเมตาบอลิซึมได้อย่างไร? การอดอาหารเป็นระยะ และรูปแบบการกินอาหารแบบจำกัดเวลา เป็นกลยุทธ์โบราณที่ส่งเสริมสุขภาพเมตาบอลิซึมที่ดีขึ้น โดยการขยายระยะเวลาที่ไม่รับประทานอาหาร ร่างกายจะเข้าสู่สภาวะอดอาหาร ซึ่งกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ เช่น ออโตฟาจี้ ซึ่งร่างกายจะกำจัดเซลล์ที่เสียหายและรีไซเคิลส่วนประกอบต่างๆ การอดอาหารช่วยปรับปรุงความไวของอินซูลิน ส่งเสริมการเผาผลาญไขมัน และสร้างความยืดหยุ่นของเมตาบอลิซึม การรวมการอดอาหารเข้ากับการกินอาหารแบบคีโตเจนิกถือเป็นส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากทั้งสองกลยุทธ์ช่วยลดระดับอินซูลินและส่งเสริมการใช้ไขมันเป็นเชื้อเพลิง การอดอาหารยังเป็นความเครียดในระยะสั้นที่เป็นประโยชน์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างไมโทคอนเดรียและสนับสนุนสุขภาพของจุลินทรีย์ในลำไส้ ด้วยการฝึกฝนการอดอาหารแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น การเริ่มต้นด้วยการอดอาหาร 12 ชั่วโมง และเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ร่างกายสามารถปรับตัวและได้รับประโยชน์ทางเมตาบอลิซึมอย่างมีนัยสำคัญ 5.อิทธิพลของสารพิษจากสิ่งแวดล้อมและอาหารแปร
2025-05-23
12 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Forgotten Home Apothecary Revealed (Dr. Nicole Apelian) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Forgotten Home Apothecary Revealed เขียนโดย Dr. Nicole Apelian - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/ForgottenHomeApothecaryRevealed - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/ForgottenHomeApothecaryRevealed - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0DJQVYV99?tag=9natree-20 #ForgottenHomeApothecaryRevealed #รีวิวForgottenHomeApothecaryRevealed #สรุปForgottenHomeApothecaryRevealed #หนังสือForgottenHomeApothecaryRevealed 1. เภสัชภัณฑ์ประจำบ้านที่ถูกลืมคืออะไร และทำไมจึงมีความสำคัญในปัจจุบัน? เภสัชภัณฑ์ประจำบ้านที่ถูกลืม หมายถึง การรวบรวมสมุนไพรและการเยียวยาจากธรรมชาติที่เคยเป็นเรื่องธรรมดาในทุกครัวเรือน ก่อนที่จะมีการเข้ามาของยาแผนปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้ถูกใช้เพื่อดูแลสุขภาพโดยรวม บรรเทาอาการเจ็บป่วยในชีวิตประจำวัน และสร้างความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ การเยียวยาเหล่านี้ได้รับการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นในวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลก ในโลกสมัยใหม่ ความสะดวกสบายของยาแผนปัจจุบันบางครั้งอาจบดบังแนวทางการเยียวยาตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ผู้คนจำนวนมากกำลังกลับมาค้นพบผลกระทบที่ลึกซึ้งของการเยียวยาจากพืช การเยียวยาตามธรรมชาติให้แนวทางที่อ่อนโยนและช้ากว่า โดยสนับสนุนกระบวนการบำบัดของร่างกายเอง แทนที่จะบังคับให้ร่างกายตอบสนอง นอกจากนี้ การเตรียมการเยียวยาเหล่านี้ยังส่งเสริมการมีสติ การใส่ใจในร่างกาย และการบ่มเพาะความสัมพันธ์กับสุขภาพของเรา การมีเภสัชภัณฑ์ประจำบ้านยังช่วยให้รู้สึกปลอดภัยและเชื่อมโยงกับสิ่งที่เก่าแก่และเคยเป็นเรื่องธรรมดาในทุกครัวเรือน2. สามารถใช้สมุนไพรชนิดใดเพื่อบรรเทาอาการป่วยทั่วไป และมีวิธีการเตรียมอย่างไร? แหล่งข้อมูลกล่าวถึงสมุนไพรหลายชนิดสำหรับอาการป่วยทั่วไป: ความเครียดและความวิตกกังวล:Ashwagandha: เป็น adaptogen ช่วยให้ร่างกายรับมือกับความเครียด ลดความวิตกกังวล และส่งเสริมการนอนหลับที่ผ่อนคลาย ใช้เป็นผงรากในแคปซูล นม หรือสมูทตี้ Holy Basil : เป็น adaptogen ช่วยให้ร่างกายจัดการกับความเครียด ลดระดับ cortisol และให้การสนับสนุนอารมณ์อย่างอ่อนโยน ชงเป็นชา Lemon Balm: ช่วยลดความวิตกกังวล ส่งเสริมความสงบ ชงเป็นชา หรือใช้ใน tincture Lavender: มีคุณสมบัติสงบเงียบ ช่วยลดความวิตกกังวลและปรับปรุงการนอนหลับ ชงเป็นชา ใช้ใน tincture หรือใช้ใน aromatherapy ปัญหาทางเดินอาหาร :Fennel: บรรเทาอาการท้องอืดและแก๊ส เมล็ดช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อทางเดินอาหาร ชงเป็นชาโดยการแช่เมล็ดที่บดแล้วในน้ำร้อน Peppermint: ดีเยี่ยมสำหรับการบรรเทาอาการปวดท้องและลดอาการท้องอืด Menthol ช่วยผ่อนคลายทางเดินอาหาร ชงเป็นชาโดยใช้ใบสดหรือใบแห้ง หรือใช้น้ำมันเปปเปอร์มินต์เจือจาง Ginger: ช่วยเรื่องคลื่นไส้ เมารถ และอาหารไม่ย่อย กระตุ้นการย่อยอาหารและลดการอักเสบ ชงเป็นชาโดยใช้ขิงสดหั่นเป็นชิ้น Chamomile: ช่วยผ่อนคลายทางเดินอาหารและลดการอักเสบ ชงเป็นชา ปัญหาระบบทางเดินหายใจ :Marshmallow Root: มี mucilage สูง เคลือบและปลอบประโลมคอ บรรเทาอาการไอแห้งๆ ชงเป็นชาเย็นโดยแช่รากแห้งในน้ำอุณหภูมิห้องเป็นเวลาหลายชั่วโมง Thyme: มีคุณสมบัติ antispasmodic และ expectorant ช่วยบรรเทาอาการไอโดยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อระบบทางเดินหายใจและขับเสมหะ ชงเป็นชา Eucalyptus: ช่วยลดอาการคัดจมูกและปัญหาทางเดินหายใจ ใช้น้ำมันหอมระเหยยูคาลิปตัสในการสูดดมไอน้ำ Nettle: ช่วยลดอาการภูมิแพ้ ชงเป็นชา หรือใช้ใน tincture ปวดหัว:Feverfew: ใช้เพื่อลดความถี่และความรุนแรงของไมเกรน ใช้เป็นอาหารเสริมหรือชา Peppermint: น้ำมันเปปเปอร์มินต์ช่วยลดอาการปวดหัวจากความตึงเครียดได้ ใช้เจือจางแล้วทาที่ขมับหรือท้ายทอย Willow Bark: มักเรียกว่า "แอสไพรินจากธรรมชาติ" มี salicin ซึ่งช่วยบรรเทาอาการปวด ชงเป็นชา การนอนหลับ:Valerian Root: มีคุณสมบัติสงบเงียบ ส่งเสริมการนอนหลับลึก ชงเป็นชา หรือใช้ใน tincture Passionflower: ช่วยให้จิตใจสงบและปรับปรุงการนอนหลับ ชงเป็นชา หรือใช้ใน tincture Hops: มีคุณสมบัติ sedative ช่วยผ่อนคลายและส่งเสริมการนอนหลับที่ลึกขึ้น ชงเป็นชา หรือใช้ใน tincture3. ส่วนผสมหลักในการทำบาล์มและวิธีปรับให้เข้ากับสภาพผิวต่างๆ คืออะไร? บาล์มเป็นส่วนผสมของสมุนไพร น้ำมันพาหะ และสารเพิ่มความข้น เช่น ขี้ผึ้ง หรือขี้ผึ้งจากพืช ส่วนประกอบหลักมีดังนี้: สมุนไพร: ส่วนผสมออกฤทธิ์ที่ให้คุณสมบัติการบำบัดเฉพาะสำหรับปัญหาผิว สมุนไพรสามารถเป็นสดหรือแห้งและมักจะถูกนำไปแช่ในน้ำมัน น้ำมันพาหะ: น้ำมัน
2025-05-23
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] The 5 Second Rule (Mel Robbins) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ The 5 Second Rule เขียนโดย Mel Robbins - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/The5SecondRule - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/The5SecondRule - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B01MUSNFOO?tag=9natree-20 #The5SecondRule #รีวิวThe5SecondRule #สรุปThe5SecondRule #หนังสือThe5SecondRule 1.The 5 Second Rule คืออะไร? The 5 Second Rule เป็นเครื่องมืออภิปัญญาง่ายๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากการวิจัย ซึ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทันทีและถาวร Metacognition เป็นคำศัพท์แฟนซีสำหรับเทคนิคใดๆ ที่ช่วยให้คุณเอาชนะสมองของคุณเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ใหญ่กว่า 2.ฉันจะใช้กฎได้อย่างไร? การใช้กฎนั้นง่าย เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกถึงสัญชาตญาณที่พุ่งพล่านที่จะดำเนินการตามเป้าหมายหรือพันธสัญญา หรือเมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองลังเลที่จะทำบางสิ่งและรู้ว่าควรทำ ให้ใช้กฎนี้ เริ่มต้นด้วยการนับถอยหลัง 5-4-3-2-1 การนับจะช่วยให้คุณจดจ่อกับเป้าหมายหรือพันธสัญญา และทำให้ไขว้เขวจากความกังวล ความคิด และความกลัวในใจทันทีที่คุณนับถึง "1" ให้ขยับ เท่านั้นเอง ง่ายมาก 3.เหตุใดจึงเรียกว่า The 5 Second Rule? ผู้เขียนตั้งชื่อว่า "#5SecondRule" เพราะเป็นสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในใจในเช้าวันแรกที่ใช้กฎนี้ และชื่อนี้ก็ติดหู ผู้เขียนได้เห็นการปล่อยจรวดในคืนก่อนหน้าและคิดกับตัวเองว่า "ฉันจะปล่อยตัวเองออกจากเตียงเหมือนจรวด!" เช้าวันรุ่งขึ้นผู้เขียนนับถอยหลัง 5-4-3-2-1 เพราะนั่นคือสิ่งที่ NASA ทำเมื่อปล่อยยานอวกาศ ผู้เขียนเริ่มต้นด้วย 5 โดยไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากการรู้สึกว่ามันเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง 4.กฎฟังดูคล้ายกับสโลแกน "Just Do It" ของ Nike... ความแตกต่างระหว่าง "Just Do It" และ #5SecondRule นั้นเรียบง่าย "Just Do It" เป็นแนวคิด นั่นคือสิ่งที่คุณต้องทำ #5SecondRule เป็นเครื่องมือ เป็นวิธีที่คุณทำให้ตัวเองทำ มีเหตุผลที่ "Just Do It" เป็นสโลแกนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกและเข้าถึงได้ทุกวัฒนธรรม รู้หรือไม่ว่าอะไรที่ทำให้สโลแกนมีพลังมาก? นั่นคือคำว่า "JUST" 5.ฉันจะใช้มันเพื่ออะไรได้บ้าง? ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราได้ยินตัวอย่างมากมายว่าผู้คนใช้กฎนี้เพื่อปรับปรุงชีวิต ความสัมพันธ์ ความสุข และการทำงานอย่างไร แต่ทุกตัวอย่างแบ่งออกเป็นสามประเภทที่แตกต่างกันสำหรับวิธีที่คุณสามารถใช้ได้: 1) คุณสามารถใช้เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของคุณ 2) คุณสามารถใช้เพื่อแสดงความกล้าหาญในชีวิตประจำวัน 3) คุณสามารถใช้เพื่อควบคุมจิตใจของคุณ 6.ทำไมกฎเดียวถึงใช้ได้กับหลายด้านในชีวิตของฉัน? The #5SecondRule จริงๆ แล้วใช้ได้กับสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือ ตัวคุณ คุณหยุดตัวเองจากการเปลี่ยนแปลงแบบเดิมทุกครั้ง คุณลังเล แล้วคุณก็คิดมาก และคุณก็ขังตัวเองไว้ในคุกทางความคิด ช่วงเวลาแห่งความลังเลนั้นเป็นตัวฆ่า ความลังเลส่งสัญญาณความเครียดไปยังสมองของคุณ มันเป็นธงแดงที่บ่งบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และสมองของคุณเข้าสู่โหมดป้องกัน นี่คือวิธีที่เราถูกกำหนดให้ล้มเหลว 7.ฉันจะหยุดความวิตกกังวลและความกลัวได้อย่างไร? ความวิตกกังวลเกิดขึ้นเมื่อนิสัยการกังวลของคุณหลุดจากการควบคุม The 5 Second Rule สามารถใช้เพื่อควบคุมจิตใจของคุณและเปลี่ยนความวิตกกังวลให้เป็นความตื่นเต้น เพื่อที่สมองของคุณจะไม่ขยายความกังวลและร่างกายของคุณจะได้สงบลง คุณสามารถใช้เทคนิคนี้ในการเผชิญหน้ากับความกลัวอื่นๆ ได้เช่นกัน โดยการสร้างความคิดหลัก ของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเชิงบวก 8.ฉันจะสร้างความมั่นใจได้อย่างไร? ความมั่นใจหมายถึงการที่คุณเชื่อในตัวเอง แนวคิดของคุณ และความสามารถของคุณ ใครๆ ก็เรียนรู้วิธีที่จะมีความมั่นใจมากขึ้นได้ ไม่ใช่บุคลิกลักษณะเฉพาะ เป็นทักษะ ความมั่นใจในตัวเองสร้างขึ้นจากการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณทำทุกวัน ซึ่งสร้างความไว้วางใจในตัวเอง ยิ่งคุณฝึกฝนการกระทำที่กล้าหาญในชีวิตประจำวันมากเท่าไร คุณก็จะยิ่งมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
2025-05-23
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] The Richest Man in Babylon (George S. Clason) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ The Richest Man in Babylon เขียนโดย George S. Clason - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TheRichestManinBabylon - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TheRichestManinBabylon - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B07H7HN6DN?tag=9natree-20 #TheRichestManinBabylon #รีวิวTheRichestManinBabylon #สรุปTheRichestManinBabylon #หนังสือTheRichestManinBabylon 1. เหตุใดบาบิโลนซึ่งเป็นเมืองที่ร่ำรวยจึงตั้งอยู่ในทำเลที่แห้งแล้งและไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย? บาบิโลนตั้งอยู่ริมแม่น้ำยูเฟรติสในหุบเขาที่ราบและแห้งแล้ง ไม่มีป่า ไม่มีเหมือง หรือแม้แต่หินสำหรับก่อสร้าง แม้จะไม่ได้อยู่บนเส้นทางการค้าตามธรรมชาติ และปริมาณน้ำฝนก็ไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูก แต่บาบิโลนก็กลายเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของความสามารถของมนุษย์ในการบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งหมด ความมั่งคั่งและทรัพยากรทั้งหมดของเมืองบาบิโลนนั้นถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ ชาวบาบิโลนใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพียงสองอย่าง ได้แก่ ดินที่อุดมสมบูรณ์และน้ำในแม่น้ำ ด้วยความสำเร็จด้านวิศวกรรมที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาได้สร้างเขื่อนและคลองชลประทานขนาดใหญ่เพื่อผันน้ำจากแม่น้ำมายังที่ราบแห้งแล้ง ระบบชลประทานนี้ส่งผลให้ได้ผลผลิตทางการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก ดังนั้น ความร่ำรวยของบาบิโลนจึงไม่ได้มาจากทรัพยากรธรรมชาติ แต่มาจากความเฉลียวฉลาด ความอุตสาหะ และความสามารถในการพัฒนาระบบที่สนับสนุนเมืองและสร้างความมั่งคั่ง2. "โชคชะตา" มีบทบาทอย่างไรในการสร้างความมั่งคั่งตามมุมมองของ Arkad? ตามมุมมองของ Arkad "โชคชะตา" ไม่ใช่เทพีที่นำความดีงามถาวรมาสู่ใครเลย ตรงกันข้าม มันนำมาซึ่งความพินาศแก่เกือบทุกคนที่ได้รับทองคำที่ไม่ได้มาจากการทำงาน โชคชะตาทำให้คนกลายเป็นผู้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ซึ่งไม่นานก็จะใช้จ่ายทุกสิ่งที่ได้รับจนหมดสิ้น และเหลือเพียงความอยากอาหารและความปรารถนาที่ไม่สามารถตอบสนองได้ คนอื่นๆ ที่โชคชะตาเข้าข้างจะกลายเป็นคนตระหนี่และสะสมความมั่งคั่ง กลัวที่จะใช้สิ่งที่พวกเขามี โดยรู้ว่าพวกเขาไม่มีความสามารถในการสร้างมันขึ้นมาใหม่ พวกเขายังถูกคุกคามด้วยความกลัวโจร และตัดสินชีวิตตนเองให้ว่างเปล่าและมีความทุกข์ลับๆ Arkad เชื่อว่าโชคชะตาเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนและไม่ควรพึ่งพา เขาเน้นว่าโอกาสนั้น "เป็นเทพีที่หยิ่งยโสที่เสียเวลาไปกับคนที่ไม่พร้อม" แทนที่จะพึ่งพาโชคชะตา ความมั่งคั่งจะมาหาผู้ที่เข้าใจและปฏิบัติตามกฎง่ายๆ ในการสร้างความมั่งคั่ง ซึ่งต้องใช้เวลา การศึกษา และความพยายาม3. อะไรคือ "ยาแก้กระเป๋าแบนเจ็ดประการ" ตามที่ Arkad สอน? Arkad ผู้ชายที่ร่ำรวยที่สุดในบาบิโลน ได้สอน "ยาแก้กระเป๋าแบนเจ็ดประการ" ให้กับผู้ที่ต้องการความมั่งคั่ง: เริ่มต้นเติมกระเป๋า: สำหรับทุกๆ สิบเหรียญที่นำเข้ามา ให้ใช้เพียงเก้าเหรียญเท่านั้น อีกหนึ่งเหรียญเป็นของคุณที่จะเก็บไว้ นี่คือเมล็ดพันธุ์แห่งความมั่งคั่ง ควบคุมค่าใช้จ่ายของคุณ: แยกแยะความจำเป็นออกจากความปรารถนา และทำงบประมาณเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายของคุณ ไม่ให้เกินเก้าในสิบของรายได้ เพื่อให้แน่ใจว่ายังมีเงินเหลือเก็บ ทำให้ทองคำของคุณทวีคูณ: นำเงินออมของคุณไปลงทุนเพื่อให้มันทำงานให้คุณและสร้างรายได้เพิ่มเติม รายได้นี้ก็จะทำงานและสร้างรายได้เพิ่มเติมอีก รักษาทรัพย์สมบัติของคุณจากการสูญเสีย: ลงทุนด้วยความระมัดระวัง โดยเน้นที่ความปลอดภัยของเงินต้น ปรึกษาผู้มีประสบการณ์ในการจัดการเงินอย่างมีกำไรเพื่อหลีกเลี่ยงการลงทุนที่ไม่ปลอดภัย ทำให้ที่อยู่อาศัยของคุณเป็นการลงทุนที่สร้างผลกำไร: เป็นเจ้าของบ้านของคุณเอง การชำระหนี้เพื่อบ้านคือการลงทุนที่สร้างผลกำไรและเพิ่มความมั่นใจในตนเอง เตรียมพร้อมสำหรับรายได้ในอนาคต: จัดเตรียมล่วงหน้าสำหรับความต้องการในวัยชราและการคุ้มครองครอบครัวของคุณ การออมและการลงทุนอย่างสม่ำเสมอจะสร้างความมั่นคงในระยะยาว เพิ่มความสามารถในการหารายได้ของคุณ: พัฒนาทักษะ ความรู้ และความสามารถของคุณเพื่อเพิ่มศักยภาพในการหารายได้ การเรียนรู้และการปรับปรุงตนเองเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จทางการเงิน4. ทำไมการ "จ่ายให้ตัวเองก่อน" เป็นสิ่งสำคัญ และหมายถึงอะไร? การ "จ่ายให้ตัวเองก่อน" หมายถึงการกันเงินส่วนหนึ่งของรายได้ของคุณ ไว้สำหรับตัวเองก่อนที่จะใช้จ่ายเพื่อสิ่งอื่นใด เป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นขั้นตอนแรกและพื้นฐานที่สุดในการสร้างความมั่งคั่ง Arkad สอนว่าทองคำทุกชิ้นที่คุณเก็บไว้คือทาสที่จะทำงานให้คุณ และเหรียญทองแดงทุกเหรียญที่มันหาได้คือลูกของมันที่สามารถหารายได้ให้คุณได้ด้วย หากคุณต้อ
2025-05-22
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Think and Grow Rich (Napoleon Hill) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Think and Grow Rich เขียนโดย Napoleon Hill - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/ThinkandGrowRich - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/ThinkandGrowRich - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B001NGN2D2?tag=9natree-20 #ThinkandGrowRich #รีวิวThinkandGrowRich #สรุปThinkandGrowRich #หนังสือThinkandGrowRich 1. กุญแจสู่ความสำเร็จและความร่ำรวยคืออะไร? แหล่งข้อมูลระบุว่ากุญแจสำคัญคือการสร้าง "จิตสำนึกแห่งความสำเร็จ" ความสำเร็จและความร่ำรวยไม่ได้มาจากโชคหรือการทำงานหนักเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการใช้หลักการที่ชัดเจน โดยเริ่มต้นจาก "ความปรารถนาอย่างแรงกล้า" ผสมผสานกับ "ความศรัทธา" และการนำหลักการต่างๆ ไปประยุกต์ใช้อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง2. "ความคิดเป็นสิ่งที่มีตัวตน" หมายความว่าอย่างไรในบริบทนี้? แนวคิด "ความคิดเป็นสิ่งที่มีตัวตน" เน้นย้ำว่าความคิดมีพลังมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผสมผสานกับ "จุดมุ่งหมายที่ชัดเจน" "ความเพียรพยายาม" และความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเปลี่ยนความคิดเหล่านั้นให้กลายเป็นความร่ำรวยหรือสิ่งที่เป็นรูปธรรมอื่นๆ3. ความสำคัญของ "ความปรารถนาอย่างแรงกล้า" คืออะไร? ความปรารถนาอย่างแรงกล้าไม่ใช่เพียงแค่ความหวังหรือความปรารถนาธรรมดา แต่เป็นความต้องการที่เร่าร้อนและชัดเจนที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด เป็นจุดเริ่มต้นของการบรรลุเป้าหมายใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความร่ำรวย ตัวอย่างของ Edwin C. Barnes ที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับ Thomas Edison แสดงให้เห็นว่าความปรารถนาที่รุนแรงนี้สามารถเอาชนะอุปสรรคทั้งหมดได้4. "การตัดสินใจ" มีบทบาทสำคัญอย่างไรในการบรรลุความร่ำรวย? การตัดสินใจอย่างรวดเร็วและเด็ดเดี่ยว และการเปลี่ยนการตัดสินใจเหล่านั้นอย่างช้าๆ เป็นลักษณะสำคัญของผู้ที่ประสบความสำเร็จทางการเงินตรงกันข้ามกับผู้ที่มักจะตัดสินใจช้าและเปลี่ยนใจบ่อยครั้ง การตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวจะช่วยให้คุณมี "จุดมุ่งหมายที่ชัดเจน" ของตนเองและไม่ถูกชักจูงได้ง่ายจากความคิดเห็นของผู้อื่น5. เหตุใด "ความเพียรพยายาม" จึงมีความจำเป็นต่อความสำเร็จ? ความเพียรพยายามเป็นสิ่งจำเป็นในการเอาชนะ "ความพ่ายแพ้ชั่วคราว" ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการเดินทางสู่ความร่ำรวย ความล้มเหลวไม่ใช่การยุติ แต่เป็นสัญญาณว่าแผนของคุณอาจไม่ถูกต้อง คุณต้องปรับปรุงแผนและเดินหน้าต่อไป "ผู้ที่ยอมแพ้จะไม่มีวันชนะ และผู้ชนะจะไม่มีวันยอมแพ้"6. บทบาทของ "จิตใต้สำนึก" ในกระบวนการ "คิดแล้วรวย" คืออะไร? จิตใต้สำนึกทำหน้าที่เป็น "ห้องปฏิบัติการทางเคมี" ที่รวมความคิดและเตรียมพร้อมสำหรับการแปลงเป็นความจริงทางกายภาพ จิตใต้สำนึกไม่แยกแยะระหว่างความคิดเชิงสร้างสรรค์และเชิงทำลายล้าง มันจะทำงานตามความคิดที่เราป้อนเข้าไป การปลูกฝังความคิดเชิงบวกโดยการทำซ้ำจะช่วยให้จิตใต้สำนึกรับและดำเนินการตามความคิดเหล่านั้น ซึ่งจะส่งผลต่อการกระทำและนำไปสู่ผลลัพธ์ตามต้องการ7. "การแปลงพลังงานทางเพศ" เกี่ยวข้องกับความสำเร็จอย่างไร? แหล่งข้อมูลกล่าวถึงว่า "พลังงานทางเพศ" เป็นหนึ่งในแรงกระตุ้นทางจิตที่ทรงพลังที่สุด เมื่อได้รับการควบคุมและ "การแปลง" พลังขับเคลื่อนนี้สามารถยกระดับบุคคลไปสู่ความคิดระดับสูงขึ้น ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถเอาชนะความกังวลและความรำคาญเล็กๆ น้อยๆ ได้ พลังงานนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างมากในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและเป็นแหล่งของ "พลังงานแม่เหล็กส่วนบุคคล"8. "สัมผัสที่หก" หรือ "จินตนาการที่สร้างสรรค์" คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร? "สัมผัสที่หก" เป็นขั้นสุดท้ายในปรัชญา "คิดแล้วรวย" เป็นส่วนหนึ่งของจิตใต้สำนึกที่เรียกว่า "จินตนาการที่สร้างสรรค์" เป็น "เครื่องรับ" ที่ความคิด แผน และแรงบันดาลใจปรากฏขึ้นในจิตใจอย่างกะทันหัน สัมผัสที่หกจะทำงานได้เมื่อบุคคลเชี่ยวชาญหลักการอื่นๆ และสามารถเชื่อมต่อกับ "ปัญญาอนันต์" ได้ ช่วยให้รับรู้สิ่งต่างๆ ได้เกินกว่าการรับรู้ทางประสาทสัมผัสปกติ
2025-05-22
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] The 4 Hour Workweek (Timothy Ferriss) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ The 4 Hour Workweek เขียนโดย Timothy Ferriss - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/The4HourWorkweek - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/The4HourWorkweek - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B002WE46UW?tag=9natree-20 #The4HourWorkweek #รีวิวThe4HourWorkweek #สรุปThe4HourWorkweek #หนังสือThe4HourWorkweek 1. แนวคิดหลักของ "4-Hour Workweek" คืออะไร? แนวคิดหลักคือการบรรลุวิถีชีวิตแห่งอิสรภาพที่ปกติจะสัมพันธ์กับการเป็นเศรษฐี โดยไม่ต้องมีเงินล้านดอลลาร์ในธนาคาร หนังสือเล่มนี้มุ่งเน้นไปที่การแยกรายได้ออกจากเวลาและสร้างวิถีชีวิตในอุดมคติผ่านการใช้หลักการเฉพาะ รวมถึงการสร้าง "Muse" ซึ่งเป็นธุรกิจอัตโนมัติที่สร้างกระแสเงินสดโดยไม่ใช้เวลามาก2. "วิถีชีวิตแห่งอิสรภาพ" ตามที่กล่าวถึงในหนังสือหมายถึงอะไร? มันไม่ได้หมายถึงการซื้อทุกอย่างที่คุณต้องการมี แต่หมายถึงการทำทุกสิ่งที่คุณต้องการทำและเป็นทุกสิ่งที่คุณต้องการเป็น หากสิ่งนี้รวมถึงเครื่องมือและแกดเจ็ตบางอย่างก็เป็นเช่นนั้น แต่พวกมันเป็นเพียงวิธีการสู่จุดสิ้นสุดหรือโบนัส ไม่ใช่จุดโฟกัส นอกจากนี้ยังหมายถึงการเป็นเจ้าของ "รถไฟ" และให้คนอื่นดูแลการทำงานตรงเวลา แทนที่จะเป็นเจ้านายหรือลูกจ้าง3. การท้าทายสถานะที่เป็นอยู่มีความสำคัญอย่างไร? การท้าทายสถานะที่เป็นอยู่มีความสำคัญเมื่อวิธีการแก้ปัญหาในปัจจุบันให้ผลลัพธ์ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน การแตกต่างจะดีกว่าเมื่อมันมีประสิทธิภาพหรือสนุกกว่า หากทุกคนกำลังกำหนดปัญหาหรือแก้ปัญหาด้วยวิธีเดียวและผลลัพธ์ไม่ดี นี่คือเวลาที่จะคิดนอกกรอบ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรแตกต่างเพื่อความแตกต่างเท่านั้น หากสิ่งที่มีอยู่ใช้งานได้ดี ไม่จำเป็นต้องแก้ไข4. "Fear-Setting" คืออะไร และช่วยเอาชนะความไม่แน่นอนได้อย่างไร? Fear-Setting เป็นกระบวนการในการระบุและกำหนดความกลัวของคุณอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับที่ Yoda กล่าวว่า "ต้องตั้งชื่อความกลัวของคุณก่อนจึงจะสามารถกำจัดได้" การทำสิ่งนี้ช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนที่น่ากลัวของ "ความว่างเปล่า" ซึ่งมักทำให้ผู้คนกลายเป็น "ชายอ้วนในรถ BMW สีแดง" ซึ่งก็คือการทำตามเส้นทางเดิม ๆ เพียงเพราะกลัวที่จะทำผิดพลาด การนิยามฝันร้าย ช่วยให้คุณเห็นว่าแม้สิ่งเลวร้ายที่สุดจะเกิดขึ้น ก็มักจะไม่เลวร้ายเท่าที่คิดและสามารถแก้ไขได้5. "Dreamline" คืออะไร และช่วยในการตั้งเป้าหมายอย่างไร? Dreamline คือการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้ โดยเน้นไปที่สิ่งที่ต้องการ "เป็น" "มี" และ "ทำ" ภายในกรอบเวลา 3 เดือนและ 6 เดือน แทนที่จะเป็นเป้าหมายระยะยาวที่ไม่ชัดเจน ซึ่งมักกลายเป็นข้ออ้างในการเลื่อนการกระทำ Dreamline ช่วยให้คุณระบุต้นทุนของความฝันเหล่านี้และคำนวณ Target Monthly Income ที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยการแปลงการ "เป็น" ให้เป็นการ "ทำ" เพื่อให้สามารถดำเนินการได้6. การจัดการกับสิ่งรบกวนและข้อมูลล้นหลามมีความสำคัญอย่างไร? สิ่งรบกวนและข้อมูลล้นหลามเป็นศัตรูของประสิทธิภาพและอิสรภาพด้านเวลา การจำกัดการบริโภคข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ การใช้เครื่องมือเช่น LeechBlock เพื่อบล็อกเว็บไซต์ที่สร้างสิ่งรบกวน การถามตัวเองว่า "ฉันจะใช้ข้อมูลนี้สำหรับบางสิ่งบางอย่างที่เร่งด่วนและสำคัญอย่างแน่นอนหรือไม่?" และการพัฒนานิสัยการ "ไม่" ต่อคำขอที่ไม่สำคัญ เป็นสิ่งสำคัญในการจัดการเวลาและโฟกัสไปที่สิ่งที่สำคัญ7. แนวคิดของการมี "Muse" คืออะไร และแตกต่างจากธุรกิจแบบเดิมอย่างไร? Muse คือยานพาหนะอัตโนมัติสำหรับการสร้างเงินสดโดยไม่ใช้เวลามาก แตกต่างจากธุรกิจแบบเดิมที่อาจต้องใช้เวลาและการจัดการจำนวนมาก เป้าหมายของ Muse คือการสร้างกระแสเงินสดและอิสรภาพด้านเวลา ซึ่งเป็นสองสกุลเงินที่ทำให้สิ่งอื่น ๆ เป็นไปได้ Muse มักเน้นไปที่การเป็น "ปลาใหญ่ในบ่อน้ำเล็ก" หรือการ "ลดขนาด" ทักษะทั่วไปให้เข้ากับตลาดเฉพาะกลุ่ม8. "Mini-Retirements" คืออะไร และทำไมจึงมีความสำคัญ? Mini-Retirements คือการหยุดพักผ่อนเป็นระยะ ๆ ไม่ใช่เป็นเหตุการณ์ครั้งเดียวเหมือนการเกษียณอายุ มักใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนและเกิดขึ้นซ้ำ ๆ เป็นวิถีชีวิต Mini-Retirements ช่วยให้คุณ "เพิ่มชีวิตหลังจากการลบงาน" และเติมเต็มความว่างเปล่าที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการลดภาระงาน ช่วยให้คุณมีสมาธิกับสิ่งที่ภายนอกตัวเอง เช่น การเรียนรู้ทักษะใหม่ การท่องเที่ยว หรือการทำกิจกรรมที่คุณรัก เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัยและคำถามที่ไร้สาระที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไม่มีอะไรเติมเต็มจิตใจ
2025-05-22
10 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Eat That Frog (Brian Tracy) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Eat That Frog เขียนโดย Brian Tracy - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/EatThatFrog - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/EatThatFrog - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B09YH72KMK?tag=9natree-20 #EatThatFrog #รีวิวEatThatFrog #สรุปEatThatFrog #หนังสือEatThatFrog 1.กบที่คุณต้องกินคืออะไร? ในบริบทของประสิทธิภาพส่วนบุคคลและการเอาชนะการผัดวันประกันพรุ่ง "กบ" หมายถึงภารกิจที่สำคัญที่สุด น่าจะเป็นภารกิจที่ใหญ่ที่สุด ยากที่สุด และสำคัญที่สุดของคุณ ซึ่งคุณมีแนวโน้มที่จะเลื่อนออกไปมากที่สุด การกินกบในตอนเช้าเป็นอุปมาสำหรับการจัดการกับภารกิจที่สำคัญที่สุดของคุณในทันทีตั้งแต่ต้นวัน 2.การวางแผนล่วงหน้ามีความสำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างไร? การวางแผนล่วงหน้ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเพิ่มประสิทธิภาพ หลักการ 10/90 ระบุว่าการใช้เวลา 10% แรกในการวางแผนและจัดระเบียบงานของคุณก่อนที่จะเริ่มต้นจะช่วยประหยัดเวลาได้มากถึง 90% ในการทำงานให้สำเร็จ การวางแผนทุกวันล่วงหน้า รวมถึงการเขียนทุกอย่างลงบนกระดาษ ช่วยให้คุณมีเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคุณได้อย่างมาก 3.กฎ 80/20 คืออะไรและนำไปใช้กับการบริหารเวลาอย่างไร? กฎ 80/20 หรือหลักการพาเรโต ระบุว่าประมาณ 80% ของผลลัพธ์ของคุณมาจาก 20% ของกิจกรรมของคุณ เมื่อนำไปใช้กับการบริหารเวลา หมายความว่า 20% ของงานของคุณให้ 80% ของมูลค่าหรือผลลัพธ์ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องระบุและมุ่งเน้นไปที่ภารกิจสำคัญ 20% ที่มีผลกระทบมากที่สุด และต่อต้านสิ่งล่อใจที่จะทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่มีความสำคัญน้อยกว่าก่อน 4.การพิจารณาผลที่ตามมาช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับลำดับความสำคัญได้อย่างไร? การพิจารณาผลที่ตามมาในระยะยาวของการทำหรือไม่ทำภารกิจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการตัดสินใจเกี่ยวกับลำดับความสำคัญ งานที่มีผลที่ตามมาที่สำคัญและเป็นบวกสำหรับการไม่ทำให้สำเร็จควรได้รับความสำคัญสูง กฎคือนโยบายการคิดระยะยาวช่วยปรับปรุงการตัดสินใจระยะสั้น การตระหนักว่าคุณจะไม่มีวันมีเวลาทำทุกอย่างที่คุณต้องทำบังคับให้คุณเลือกระหว่างสิ่งที่สำคัญและไม่สำคัญอย่างรอบคอบ 5.การผัดวันประกันพรังสรรค์คืออะไร? การผัดวันประกันประสรรค์ หมายถึงการเลื่อนหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีมูลค่าต่ำกว่าโดยเจตนาเพื่อที่จะมุ่งเน้นและทำงานที่มีมูลค่าสูงและสำคัญที่สุดให้สำเร็จ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการพูดว่า "ไม่" กับสิ่งที่ไม่สำคัญอย่างยิ่งยวดในขณะนั้น ซึ่งช่วยให้คุณได้รับเวลาและชีวิตของคุณอยู่ภายใต้การควบคุมโดยการเลิกทำกิจกรรมที่มีมูลค่าต่ำกว่า 6.วิธี ABCDE ช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของงานอย่างไร? วิธี ABCDE เป็นเทคนิคการจัดลำดับความสำคัญที่เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพ โดยการมอบตัวอักษรให้กับรายการบนรายการของคุณ: A: ภารกิจที่คุณต้องทำ ผลที่ตามมาของการไม่ทำสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องร้ายแรง B: ภารกิจที่คุณควรทำ ผลที่ตามมาของการไม่ทำสิ่งเหล่านี้ค่อนข้างน้อย C: ภารกิจที่คุณน่าจะทำ การไม่ทำสิ่งเหล่านี้ไม่มีผลที่ตามมา D: มอบหมายภารกิจ E: กำจัดภารกิจ คุณทำงาน A ให้เสร็จก่อนที่จะย้ายไปที่ B และอื่นๆ 7.เหตุใดการมุ่งเน้นความสนใจและจัดการงานทีละงานจึงมีความสำคัญ? การมุ่งเน้นความสนใจและจัดการงานทีละงานเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพและการทำงานให้สำเร็จ การมุ่งเน้นจิตใจอย่างเต็มที่ไปที่งานที่สำคัญที่สุดของคุณ ทำงานให้ดี และทำให้เสร็จสมบูรณ์ เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ การทำงานหลายอย่างพร้อมกันมักจะลดประสิทธิภาพและเพิ่มเวลาที่ต้องใช้ในการทำงานให้เสร็จ การมุ่งเน้นไปที่ภารกิจเดียวอย่างแท้จริงจะช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการทำให้เสร็จลงได้ถึง 50% หรือมากกว่า 8.ฉันจะจัดการกับงานขนาดใหญ่ที่ดูน่ากลัวได้อย่างไร? งานขนาดใหญ่ที่ดูน่ากลัวสามารถจัดการได้โดยการแบ่งงานเหล่านั้นออกเป็นส่วนย่อยๆ ที่สามารถจัดการได้ มีสองเทคนิคที่อ้างถึงคือ "วิธีหั่นซาลามี่" ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานให้สำเร็จทีละชิ้น และ "วิธีสวิสชีส" ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเจาะ "รู" ลงในงานโดยการทำส่วนเล็กๆ ของงานให้เสร็จ สิ่งเหล่านี้ช่วยเอาชนะการผัดวันประกันพร้อและทำให้งานที่ท้าทายรู้สึกไม่น่ากลัวอีกต่อไป
2025-05-22
11 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Talking to Strangers (Malcolm Gladwell) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Talking to Strangers เขียนโดย Malcolm Gladwell - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TalkingtoStrangers - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TalkingtoStrangers - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B07NDX5W83?tag=9natree-20 #TalkingtoStrangers #รีวิวTalkingtoStrangers #สรุปTalkingtoStrangers #หนังสือTalkingtoStrangers 1.ทำไมการตัดสินคนแปลกหน้าจึงเป็นเรื่องยากและเรามักจะทำผิดพลาดได้อย่างไร? เรามักจะทำผิดพลาดในการตัดสินคนแปลกหน้าเนื่องจากเรามีแนวโน้มที่จะ "เชื่อความจริงโดยค่าเริ่มต้น" หมายความว่าเรามักจะเชื่อสิ่งที่คนอื่นแสดงออกหรือบอกเรา จนกว่าจะมีหลักฐานเพียงพอที่จะทำให้เราสงสัยอย่างรุนแรง แหล่งข้อมูลหลายแหล่งชี้ให้เห็นว่าเรามักจะใช้การแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียง เป็นตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้ของความคิดและอารมณ์ภายในของผู้อื่น อย่างไรก็ตาม การศึกษาชี้ให้เห็นว่าสัญญาณเหล่านี้มักไม่น่าเชื่อถือและอาจตีความผิดได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เราไม่รู้จัก นอกจากนี้ เรามักจะสร้างภาพเหมารวม ของคนแปลกหน้าขึ้นมาแทนที่ประสบการณ์ตรง ซึ่งบ่อยครั้งภาพเหมารวมเหล่านี้ไม่ถูกต้อง 2.อะไรคือแนวคิด "เชื่อความจริงโดยค่าเริ่มต้น" และมีผลกระทบอย่างไร? แนวคิด "เชื่อความจริงโดยค่าเริ่มต้น" คือแนวโน้มของมนุษย์ที่จะยอมรับสิ่งที่คนแปลกหน้าบอกหรือแสดงออกว่าเป็นความจริง เว้นแต่จะมี "ธงแดง" ที่ชัดเจนและเพียงพอที่จะทำให้เราข้าม "เกณฑ์ของความเชื่อ" เพื่อเริ่มสงสัย แหล่งข้อมูลแสดงให้เห็นว่าแม้ผู้เชี่ยวชาญ เช่น เจ้าหน้าที่ซีไอเอ หรือผู้พิพากษา ก็ยังตกอยู่ภายใต้อคตินี้ ทำให้พวกเขาถูกหลอกลวงหรือตัดสินคนผิดพลาด การที่เรา "เชื่อความจริงโดยค่าเริ่มต้น" ช่วยให้ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมโดยทั่วไปเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ก็ทำให้เราเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงจากผู้ที่มีเจตนาไม่ดี 3.เหตุใดผู้พิพากษาจึงทำนายความเสี่ยงของผู้ต้องหาได้แย่กว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทั้งที่มีข้อมูลมากกว่า? การศึกษาในศาลนิวยอร์กซิตี้แสดงให้เห็นว่าผู้พิพากษาทำนายความเสี่ยงที่ผู้ต้องหาจะกระทำความผิดซ้ำขณะรอการพิจารณาคดีได้แย่กว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทั้งที่ผู้พิพากษามีข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ท่าทีและพฤติกรรมของผู้ต้องหาในห้องพิจารณาคดี แหล่งข้อมูลชี้ว่านี่อาจเป็นเพราะผู้พิพากษาพึ่งพา "ความโปร่งใส" ของผู้ต้องหามากเกินไป โดยพยายาม "มองทะลุเข้าไปในจิตวิญญาณ" ของพวกเขาผ่านการแสดงออกทางสีหน้าและท่าทาง ในขณะที่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นกลางและอิงสถิติ การที่ผู้พิพากษาถูกหลอกโดยการแสดงออกที่อาจไม่ได้สะท้อนความจริงภายในอย่างแม่นยำ ทำให้พวกเขาตัดสินใจได้แย่กว่าระบบที่อาศัยข้อมูลเชิงประจักษ์เท่านั้น 4.ความโปร่งใส คืออะไร และทำไมการพึ่งพาความโปร่งใสในการตัดสินผู้อื่นจึงเป็นปัญหา? ความโปร่งใสคือแนวคิดที่ว่าการแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงของบุคคล สามารถเปิดเผยความคิดและอารมณ์ภายในของพวกเขาได้อย่างแม่นยำ เรามักจะเชื่อว่าเราสามารถบอกได้ว่าคนแปลกหน้ากำลังรู้สึกหรือคิดอะไรโดยการสังเกต "ภาษากาย" ของพวกเขา แหล่งข้อมูลชี้ให้เห็นว่าแนวคิดนี้เป็นปัญหาเนื่องจากการแสดงออกทางอารมณ์ไม่ได้เป็นสากลเสมอไป และอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลและวัฒนธรรม ตัวอย่างกรณี Amanda Knox แสดงให้เห็นว่าการตีความพฤติกรรมและท่าทีของเธอโดยเจ้าหน้าที่และสื่อ ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ถูกต้องและนำไปสู่ข้อสันนิษฐานที่เป็นอันตราย การพึ่งพาความโปร่งใสทำให้เราเสี่ยงต่อการตัดสินคนผิดพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนเหล่านั้นมีพฤติกรรมที่ผิดจากความคาดหวังของเรา 5.แอลกอฮอล์ส่งผลต่อการตัดสินใจและการรับรู้ของเราเกี่ยวกับผู้อื่นอย่างไร? แหล่งข้อมูลอธิบายว่าแอลกอฮอล์ทำให้เกิด "สายตาสั้นจากแอลกอฮอล์" โดยลดความสามารถของสมองส่วนหน้าในการประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนและพิจารณาผลกระทบระยะยาว ขณะเดียวกันก็กระตุ้นศูนย์รางวัลและลดการทำงานของ amygdala ซึ่งรับผิดชอบต่อการตอบสนองต่อภัยคุกคาม ทำให้ผู้ดื่มอยู่ในสภาวะที่ถูกควบคุมโดยปัจจัยตรงหน้าและผลกระทบในทันที การดื่มแอลกอฮอล์เปลี่ยน "ตัวตนที่แท้จริง" ของบุคคล ทำให้การตัดสินใจเกี่ยวกับความยินยอมทางเพศ หรือการรับรู้ท่าทีของผู้อื่น เป็นไปอย่างซับซ้อนและเสี่ยงต่อความผิดพลาด เนื่องจากทั้งสองฝ่ายอาจไม่ได้อยู่ในสภาพที่สามารถเจรจาบนพื้นฐานของ "ตัวตนที่แท้จริง" ของตนได้ 6.แนวคิด "การจับคู่" อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม เช่น อาชญากรรมและการฆ่าตัวตายอย่างไร? แนวคิด "การจับคู่" ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมไม่ได้เกิดจากแรงขั
2025-05-21
07 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Into the Magic Shop (James R. Doty) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Into the Magic Shop เขียนโดย James R. Doty - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/IntotheMagicShop - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/IntotheMagicShop - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0151PQ99E?tag=9natree-20 #IntotheMagicShop #รีวิวIntotheMagicShop #สรุปIntotheMagicShop #หนังสือIntotheMagicShop 1."ความมหัศจรรย์" ที่ Ruth สอนคืออะไร? "ความมหัศจรรย์" ที่ Ruth สอนไม่ใช่เคล็ดลับกลมายากลทั่วไป แต่เป็นความสามารถในการฝึกฝนและควบคุมความคิดของตนเองเพื่อเปลี่ยนความเป็นจริงของตนเอง เธอสอนเทคนิคในการผ่อนคลายร่างกาย การทำให้จิตใจสงบโดยการควบคุมความคิด และการเปิดใจ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นรากฐานของการกำหนดความตั้งใจและทำให้เป้าหมายเป็นจริง จุดประสงค์คือการตระหนักรู้ถึงพลังภายในตนเองในการสร้างอนาคตที่ปรารถนา 2.เทคนิคหลักในการ "ทำให้จิตใจสงบโดยการควบคุมความคิด" คืออะไร? Ruth สอนเทคนิคหลายอย่างเพื่อทำให้จิตใจสงบและลดความคิดฟุ้งซ่าน เทคนิคหลักที่กล่าวถึงคือการจดจ่อกับการหายใจ การจ้องมองเปลวเทียน หรือการใช้บทสวด การทำเช่นนี้จะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจาก "ดีเจ" ในหัว ซึ่งเป็นเสียงภายในที่วิพากษ์วิจารณ์และตัดสินสิ่งต่างๆ ตลอดเวลา การฝึกฝนเหล่านี้ช่วยให้ผู้ฝึกตระหนักรู้ถึงความคิดของตนเองและค่อยๆ ลดการตอบสนองทางอารมณ์ต่อความคิดเหล่านั้น 3.การผ่อนคลายร่างกายมีความสำคัญอย่างไรในการฝึกฝน "ความมหัศจรรย์"? การผ่อนคลายร่างกายเป็นขั้นตอนแรกและเป็นพื้นฐานสำคัญในเทคนิคของ Ruth เธอสอนให้ผู้ฝึกตระหนักถึงความรู้สึกในร่างกาย ซึ่งมักจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงสภาพจิตใจภายใน เช่น ความกลัว ความกังวล หรือความสุข โดยการเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย ผู้ฝึกสามารถลดการตอบสนองทางสรีรวิทยาต่อความเครียดและความกังวลเรื้อรัง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเตรียมจิตใจให้พร้อมสำหรับการฝึกฝนขั้นต่อไป 4.Ruth หมายถึงอะไรเมื่อเธอบอกว่า "คุณไม่ใช่เสียงในหัวของคุณ"? Ruth อธิบายว่าเสียงภายในที่พูดคุยกับเราตลอดเวลา ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา ตัวตนที่แท้จริงคือผู้ที่รับฟังเสียงนั้น การตระหนักถึงสิ่งนี้ช่วยให้เราสามารถแยกตัวตนของเราออกจากความคิดที่เกิดขึ้นในหัว และเลือกที่จะไม่เชื่อหรือตอบสนองต่อความคิดเหล่านั้น ซึ่งมักจะเป็นความคิดที่ผิดพลาดหรือเป็นลบ การเรียนรู้ที่จะสังเกตความคิดโดยไม่ยึดติดกับมันเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมจิตใจ 5."การเปิดใจ" มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับเทคนิคที่ Ruth สอน? การเปิดใจเป็นส่วนสำคัญของ "ความมหัศจรรย์" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกำหนดความตั้งใจและทำให้เป้าหมายเป็นจริง Ruth สอนให้เชื่อมต่อกับความรักแบบไร้เงื่อนไข ซึ่งอาจเป็นการรับจากผู้อื่นหรือการให้แก่ผู้อื่น การเปิดใจยังรวมถึงการเรียนรู้ที่จะห่วงใยตัวเอง การตระหนักว่าไม่ใช่ทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวเรา และการพัฒนาความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น แหล่งข้อมูลชี้ให้เห็นว่าการเปิดใจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ "หัวใจ" ทั้งในความหมายทางกายภาพและทางอารมณ์ เป็นที่มาของความเชื่อมโยงและความรัก 6.การตั้งความตั้งใจและการมองเห็นภาพอนาคตทำงานอย่างไรตามที่ Ruth สอน? Ruth สอนว่าการกำหนดความตั้งใจอย่างชัดเจนและการมองเห็นภาพตนเองบรรลุเป้าหมายอย่างสม่ำเสมอสามารถเปลี่ยนความเป็นจริงได้ เธอแนะนำให้มองเห็นภาพอนาคตผ่านสายตาของตนเอง แทนที่จะมองเห็นจากภายนอก การทำเช่นนี้จะช่วยสร้างรูปแบบประสาทใหม่ในสมอง ซึ่งทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้กลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคยสำหรับสมอง และสมองมีแนวโน้มที่จะเลือกสิ่งที่คุ้นเคยมากกว่าสิ่งที่ไม่คุ้นเคย 7.ประสบการณ์ของ Jim กับ Law Enforcement Exploring และการเผชิญหน้ากับพ่อของเขาที่สถานีตำรวจเผยให้เห็นอะไรเกี่ยวกับพัฒนาการของเขา? ประสบการณ์เหล่านี้เผยให้เห็นถึงความพยายามของ Jim ในการแยกตัวเองออกจากพื้นเพครอบครัวที่ยากลำบากและการพยายามสร้างตัวตนใหม่ เขาเข้าร่วมโปรแกรม Explorer เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่มีชื่อเสียงและมีคุณธรรมสูง การเผชิญหน้ากับพ่อที่ถูกจับกุมบังคับให้ Jim ต้องยอมรับพื้นเพของเขา แต่ด้วยความเมตตาที่เขาได้รับจากเจ้าหน้าที่คนหนึ่งและการตระหนักว่าเขาไม่ได้ถูก "ทำลาย" แค่เพราะบางสิ่งบางอย่างแตกหัก ทำให้เขาเลือกที่จะกำหนดเส้นทางของตัวเอง และยืนยันที่จะทำตามความตั้งใจที่จะแตกต่างจากสภาพแวดล้อมในวัยเด็ก 8.การเดินทางของ Jim จากเด็กชายที่ยากจนและสับสนไปสู่การเป็นศัลยแพทย์ระบบประสาทที่มีชื่อเสียง แสดงให้เห็นถึงพลังของ "ความมหัศจรรย์" ที่ Ruth สอนอย่างไร? การเดินทางของ Jim เป็นต
2025-05-21
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Moonwalking with Einstein (Joshua Foer) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Moonwalking with Einstein เขียนโดย Joshua Foer - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/MoonwalkingwithEinstein - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/MoonwalkingwithEinstein - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B004H4XI5O?tag=9natree-20 #MoonwalkingwithEinstein #รีวิวMoonwalkingwithEinstein #สรุปMoonwalkingwithEinstein #หนังสือMoonwalkingwithEinstein 1.ปรากฏการณ์ความจำแบบ "ภาพถ่าย" คืออะไร และมีอยู่จริงหรือไม่? จากแหล่งที่มา ปรากฏการณ์ความจำแบบ "ภาพถ่าย" ถือเป็นตำนานที่น่ารังเกียจและไม่มีอยู่จริง Ed ซึ่งเป็นนักกีฬาทรงจำที่มีความสามารถในการจดจำตัวเลขจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย ยืนยันว่าความจำของเขานั้นธรรมดา และกล่าวว่าทุกคนมีความจำเฉลี่ยที่ทรงพลังอย่างน่าทึ่งหากนำมาใช้อย่างถูกต้อง John Merritt ซึ่งเป็นนักวิจัยที่ทำการตรวจคัดกรองจำนวนมากเพื่อหาความสามารถในการจำแบบภาพถ่าย ก็พบว่าไม่มีใครที่สามารถทำได้อย่าง Elizabeth เด็กสาวที่ถูกรายงานว่ามีความสามารถนี้ แต่ก็ไม่สามารถทำซ้ำได้ในภายหลัง Stephen Wiltshire ซึ่งถูกเรียกว่า "human camera" สำหรับความสามารถในการวาดภาพสเก็ตช์จากความจำหลังจากมองเพียงไม่กี่วินาที ก็ไม่ได้มีความจำแบบภาพถ่ายที่แท้จริง จิตใจของเขาไม่ได้ทำงานเหมือนเครื่องถ่ายเอกสาร และความสามารถของเขาก็จำกัดอยู่เพียงการวาดวัตถุและฉากบางประเภทเท่านั้น ดังนั้น แหล่งที่มาจึงชี้ให้เห็นว่าความจำแบบภาพถ่ายตามความเข้าใจทั่วไปนั้นเป็นเพียงตำนาน 2.เทคนิค "วังแห่งความจำ" หรือที่รู้จักในชื่อ "ศิลปะแห่งความจำ" คืออะไร และมีหลักการทำงานอย่างไร? "วังแห่งความจำ" เป็นเทคนิคช่วยจำอายุ 2,500 ปีที่ Simonides of Ceos กล่าวกันว่าเป็นผู้คิดค้นขึ้น หลักการพื้นฐานคือการเปลี่ยนข้อมูลที่ไม่น่าจดจำ เช่น ตัวเลข สายอักขระ หรือรายการสิ่งของ ให้เป็นชุดของภาพที่น่าสนใจ และนำมาจัดเรียงทางจิตใจภายในพื้นที่ที่จินตนาการไว้ ซึ่งโดยทั่วไปคือสถานที่ที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี เช่น บ้านในวัยเด็ก หรือเส้นทางในเมือง เพื่อใช้เทคนิคนี้ บุคคลจะสร้าง "เส้นทาง" ทางจิตใจภายในพื้นที่นั้น และ "วาง" ภาพของรายการที่ต้องการจดจำไว้ที่จุดต่างๆ ตลอดเส้นทาง เมื่อต้องการระลึกถึงรายการเหล่านั้น เพียงแค่เดินย้อนรอยตามเส้นทางในจินตนาการ ซึ่งจะทำให้ภาพและสิ่งของที่เกี่ยวข้องผุดขึ้นมาในความคิด เทคนิคนี้อาศัยความจริงที่ว่ามนุษย์มีความสามารถในการเรียนรู้พื้นที่ได้ดีมาก และการใช้ความจำเชิงพื้นที่นี้ช่วยให้สิ่งของที่ลืมง่ายกลายเป็นสิ่งที่ลืมไม่ได้ วังแห่งความจำไม่จำเป็นต้องเป็นวังเสมอไป แต่สามารถเป็นเส้นทาง สถานีรถไฟ หรือแม้กระทั่งส่วนต่างๆ ของร่างกาย ตราบใดที่มีการจัดเรียงที่เป็นระเบียบและคุ้นเคย 3.Savants คือใคร และความสามารถพิเศษของพวกเขาแตกต่างจากความสามารถที่ฝึกฝนผ่านเทคนิคช่วยจำอย่างไร? Savants คือบุคคลที่มีความบกพร่องทางจิตใจอย่างรุนแรง แต่มีความสามารถพิเศษที่โดดเด่นในด้านใดด้านหนึ่ง เช่น การจดจำตัวเลข การคำนวณทางจิตใจ หรือทักษะทางศิลปะ/กลไกพิเศษ Treffert แบ่ง savants ออกเป็นสามประเภท: "splinter skill" savants , "talented savants" และ "prodigious savants" แม้ว่า savants บางคน เช่น S และ Daniel Tammet จะมีความสามารถในการจดจำที่ดูเหมือนมหัศจรรย์ แต่แหล่งที่มาก็ชี้ให้เห็นว่าความสามารถเหล่านี้อาจมีรากฐานมาจากเงื่อนไขที่หายาก เช่น synesthesia ที่เชื่อมโยงประสาทสัมผัสต่างๆ เข้าด้วยกัน ทำให้ข้อมูลนามธรรมกลายเป็นภาพที่น่าจดจำ อย่างไรก็ตาม แหล่งที่มาก็ตั้งคำถามว่า Daniel Tammet ซึ่งเป็น savant ที่มีชื่อเสียง อาจเป็นนักฝึกความจำที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างหนักมากกว่าจะเป็น savant โดยธรรมชาติ ความแตกต่างที่สำคัญคือความสามารถที่ได้จากเทคนิคช่วยจำนั้นเกิดจากการฝึกฝนอย่างเป็นระบบและการประยุกต์ใช้กลยุทธ์เฉพาะ ในขณะที่ความสามารถของ savant มักปรากฏขึ้นเองตามธรรมชาติและมักเกี่ยวข้องกับความบกพร่องในด้านอื่นๆ 4.Synesthesia มีผลต่อความจำอย่างไร และเกี่ยวข้องกับความสามารถของ savant หรือนักฝึกความจำหรือไม่? Synesthesia เป็นความผิดปกติทางการรับรู้ที่หายากซึ่งประสาทสัมผัสต่างๆ จะผสมผสานกันอย่างประหลาด สำหรับ S เสียงทุกเสียงมีสี เนื้อสัมผัส และบางครั้งก็มีรสชาติเป็นของตัวเอง และกระตุ้นให้เกิด "ความรู้สึกที่ซับซ้อนทั้งหมด" ในกรณีของ Daniel Tammet ตัวเลขจะมีรูปร่าง สี เนื้อสัมผัส และ "น้ำเสียง" ทางอารมณ์ที่แตกต่างกัน Synesthesia สามารถมีอิทธิพลอย่างมากต่อความจำได้ เนื่องจากมันเปลี่ยนข้อมูลนามธรรม เช่น ตัวเลขหรือคำพูด ให้เป็นภาพที่น่าสนใจและหลายประสาทส
2025-05-21
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Understanding Body Language (Scott Rouse) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Understanding Body Language เขียนโดย Scott Rouse - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/UnderstandingBodyLanguage - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/UnderstandingBodyLanguage - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0D44HJYMM?tag=9natree-20 #UnderstandingBodyLanguage #รีวิวUnderstandingBodyLanguage #สรุปUnderstandingBodyLanguage #หนังสือUnderstandingBodyLanguage 1. ทำไมจึงไม่มี "กฎตายตัว" ในการตีความภาษากาย? แหล่งข้อมูลเน้นย้ำอย่างต่อเนื่องว่าไม่มีสัญญาณภาษากายใดที่มีความหมายเหมือนกันทุกครั้ง ตัวอย่างเช่น การไขว่ห้างไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นกำลังปิดตัวเองเสมอไป แต่อาจเป็นเพราะพวกเขารู้สึกหนาวหรือรู้สึกสบายกว่า การตีความภาษากายจำเป็นต้องพิจารณาบริบทและปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย2. อะไรคือแรงขับเคลื่อนหลักที่อยู่เบื้องหลังภาษากายตามแหล่งข้อมูลนี้? ความสนใจเริ่มต้นของหลายคนในภาษากายมักจะมาจากความต้องการที่จะรับรู้ถึงการหลอกลวง อย่างไรก็ตาม แหล่งข้อมูลระบุว่าแรงขับเคลื่อนหลักที่อยู่เบื้องหลังภาษากายจำนวนมากมาจากการทำงานของระบบลิมบิกในสมอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตอบสนองแบบ "สู้หรือหนี" ระบบลิมบิกจะกระตุ้นให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมและปฏิกิริยาที่คล้ายคลึงกันในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อปกป้องตนเอง แม้ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนเล็กน้อย3. อะไรคือ "สัญญาณเตือน" หรือ "สัญญาณผิดปกติ" ที่ควรสังเกตในการตีความภาษากาย? แหล่งข้อมูลระบุว่าเมื่อคุณเริ่มสังเกตพฤติกรรมมนุษย์อย่างจริงจัง คุณจะเริ่มเห็นสัญญาณที่ผู้เชี่ยวชาญเรียกว่า "สัญญาณเตือน" หรือ "สัญญาณผิดปกติ" ซึ่งบ่งชี้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง สัญญาณเหล่านี้อาจรวมถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างคำพูดและการกระทำทางภาษากาย การใช้ท่าทางที่ผิดธรรมชาติหรือรวดเร็วเกินไป หรือสัญญาณความไม่สบายทางจิตใจ4. "เจ็ดอารมณ์สากล" คืออะไร และทำไมจึงสำคัญในการทำความเข้าใจภาษากาย? แม้ว่าใบหน้ามนุษย์จะสามารถสร้างการแสดงออกได้กว่า 10,000 แบบ แต่มีเพียงเจ็ดแบบเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น "สากล" ได้แก่ ความโกรธ ความสุข ความเศร้า ความกลัว ความประหลาดใจ การดูหมิ่น และความรังเกียจ การแสดงออกเหล่านี้ถือเป็นสากลเพราะการวิจัยแสดงให้เห็นว่าทุกวัฒนธรรมบนโลกแสดงอารมณ์ทั้งเจ็ดนี้ผ่านการแสดงออกทางสีหน้าเมื่อได้รับการกระตุ้นที่ถูกต้อง และมีความหมายเหมือนกันสำหรับทุกคน สิ่งนี้ทำให้การรับรู้อารมณ์พื้นฐานเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการตีความภาษากาย5. ความไม่สอดคล้องระหว่างภาษากายและคำพูดสามารถบอกอะไรเราได้บ้าง? ความไม่สอดคล้องระหว่างสัญญาณทางภาษาและอวัจนภาษาเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งชี้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น บุคคลอาจพูดว่า "ไม่" ในขณะที่พยักหน้า "ใช่" หรือใช้ท่าทาง ที่ไม่สอดคล้องกับคำที่กำลังเน้น แม้ว่าสิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการโกหกเสมอไป แต่อาจบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นกำลังคิดถึงสิ่งอื่น มีสิ่งรบกวน หรือไม่มั่นใจในสิ่งที่กำลังพูด การสังเกตความไม่สอดคล้องนี้กระตุ้นให้สังเกตพฤติกรรมของบุคคลนั้นอย่างใกล้ชิดมากขึ้น6. ความแตกต่างระหว่าง "รอยยิ้มจริง" และ "รอยยิ้มปลอม" คืออะไร? นักประสาทวิทยาชาวฝรั่งเศส Guillaume-Benjamin-Amand Duchenne ค้นพบความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างรอยยิ้มจริงและรอยยิ้มปลอม ความแตกต่างที่สำคัญคือการปรากฏของรอยย่นที่มุมด้านนอกของดวงตา ซึ่งเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของสมองต่อการกระตุ้นที่ทำให้เกิดความสุข นอกจากนี้ แก้มจะถูกดึงขึ้นโดยสมอง ไม่ใช่โดยการขยายปาก การรับรู้ความแตกต่างนี้ช่วยให้สามารถแยกแยะความสุขที่แท้จริงจากการแสดงออกทางสีหน้าที่ปลอมแปลงได้7. มีสัญญาณภาษากายอะไรบ้างที่บ่งบอกว่าทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดีในการออกเดทหรือการสนทนา? แหล่งข้อมูลได้อธิบายสัญญาณภาษากายหลายอย่างที่บ่งชี้ถึงความสนใจ ความดึงดูด และความสบายใจในการออกเดทหรือการสนทนา สัญญาณเหล่านี้รวมถึงการสบตาที่มั่นคง อัตราการกะพริบตาที่ช้าลง แก้มแดง การหายใจที่เร็วขึ้นหรือลึกขึ้น การใช้มือและแขนในท่าทางที่คล้ายกับอีกฝ่าย การใช้เสียงที่ต่ำลง การยิ้มเล็กน้อยแต่เป็นธรรมชาติ การแสดงท่าทางผ่อนคลาย และเท้าที่ชี้ไปทางอีกฝ่าย8. ความแตกต่างทางวัฒนธรรมส่งผลต่อการตีความภาษากายอย่างไร? สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือต้องตระหนักถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมในการตีความภาษากาย ท่าทางบางอย่างที่มีความหมายเฉพาะในวัฒนธรรมหนึ่งอาจมีความหมายที่แตกต่างกันหรือตรงกันข้ามในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง ตัวอย่างที่โดดเด่นคือความหมายของการพยักหน้าและส่ายศีรษะ ซึ่งแตกต่างกันในบางประเทศ เช่น บัลแกเรียและกรีซ นอกจากนี้ ท่าท
2025-05-21
07 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Four Thousand Weeks (Oliver Burkeman) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Four Thousand Weeks เขียนโดย Oliver Burkeman - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/FourThousandWeeks - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/FourThousandWeeks - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B08FGV64B1?tag=9natree-20 #FourThousandWeeks #รีวิวFourThousandWeeks #สรุปFourThousandWeeks #หนังสือFourThousandWeeks 1.ชีวิตที่มีเวลาจำกัดหมายความว่าอย่างไร และทำไมเราถึงมักปฏิเสธความจริงข้อนี้? แหล่งข้อมูลชี้ให้เห็นว่าเราทุกคนมีเวลาจำกัดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งเปรียบเหมือนการใช้ชีวิตอยู่บน "แม่น้ำแห่งเวลา" ที่พาเราไปสู่ความตายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การตัดสินใจทุกครั้งเกี่ยวกับเวลาของเราคือการเสียสละโอกาสอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน การที่เราไม่ยอมรับข้อจำกัดนี้ทำให้เรารู้สึกวิตกกังวลและพยายามที่จะ "มีเวลาให้เพียงพอ" สำหรับทุกสิ่ง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ นอกจากนี้ การปฏิเสธข้อจำกัดของตัวเองและการยึดติดกับความเชื่อที่ว่าเราควรจะเป็นใครในอุดมคติ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการเลื่อนการเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่า "นี่แหละคือตัวเรา" ในปัจจุบัน 2.การยอมรับข้อจำกัดเรื่องเวลามีประโยชน์ในทางปฏิบัติอย่างไร? การยอมรับว่าคุณไม่มีทางมีเวลาทำทุกอย่างที่คุณหรือคนอื่นต้องการให้ทำได้ ช่วยให้คุณเลิกกดดันตัวเองที่ทำไม่สำเร็จ การเลือกที่ยากลำบากเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการเรียนรู้ที่จะตัดสินใจอย่างมีสติว่าจะเน้นอะไรและละเลยอะไร แทนที่จะปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นถูกตัดสินไปโดยปริยาย การยอมรับข้อจำกัดยังช่วยให้คุณตระหนักว่า "การพลาดโอกาส" เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว และจริงๆ แล้วการพลาดโอกาสนี่แหละที่ทำให้การเลือกของเรามีความหมาย การยอมเสียสละโอกาสอื่นๆ เพื่อเลือกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งคือการแสดงจุดยืนว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับคุณ 3.ทำไมความพยายามที่จะ "บริหารเวลาให้ดีขึ้น" มักไม่ได้ผลตามที่เราคาดหวัง? แหล่งข้อมูลวิจารณ์แนวคิดการบริหารเวลาแบบดั้งเดิม เช่น การจัดลำดับความสำคัญด้วยวิธี "หินก้อนใหญ่ ก้อนกรวด ทราย" โดยชี้ให้เห็นว่าปัญหาที่แท้จริงคือ "มีหินมากเกินไป" ไม่ใช่เราจัดลำดับความสำคัญไม่เก่ง ความพยายามที่จะทำทุกสิ่งที่สำคัญให้เสร็จสิ้นเป็นไปไม่ได้ และการพยายามทำเช่นนั้นจะยิ่งทำให้เรายุ่งมากขึ้น แนวคิดที่ว่าเราสามารถบรรลุสถานะที่มีเวลา "เพียงพอ" ได้ด้วยเคล็ดลับการบริหารเวลาเป็นเพียงภาพลวงตา นอกจากนี้ การหมกมุ่นกับการใช้เวลาให้ "มีประสิทธิภาพ" มากเกินไป ทำให้แต่ละวันกลายเป็นสิ่งที่ต้องผ่านพ้นไปเพื่อไปสู่จุดที่ดีกว่าในอนาคต ซึ่งจุดนั้นไม่มีวันมาถึง 4.เราจะจัดการกับความรู้สึกว่ามีสิ่งที่ต้องทำมากเกินไปได้อย่างไร? แทนที่จะพยายามจัดลำดับความสำคัญของ "หินก้อนใหญ่" ทั้งหมด ซึ่งมีมากเกินไป ลองใช้วิธีจำกัดจำนวนสิ่งที่อนุญาตให้ตัวเองทำในเวลาใดเวลาหนึ่ง อาจจะแค่ 3 อย่าง เมื่อเลือกงานเหล่านี้แล้ว ความต้องการอื่นๆ ที่เข้ามาจะต้องรอจนกว่าหนึ่งในสามงานจะเสร็จสิ้น วิธีนี้ช่วยให้คุณได้ทำงานที่คุณใส่ใจอย่างแท้จริงสำเร็จ แทนที่จะติดอยู่ในวงจรการเคลียร์งานเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่สำคัญแต่มีจำนวนมาก 5.ความเบื่อหน่ายและความรู้สึกไม่สบายใจมีความเกี่ยวข้องกับการใช้เวลาอย่างไร? แหล่งข้อมูลแนะนำว่าความเบื่อหน่ายและความรู้สึกไม่สบายใจกับกิจกรรมต่างๆ มักไม่ได้มาจากตัวกิจกรรมเอง แต่มาจากการที่เราต่อต้านการรับรู้ประสบการณ์เหล่านั้น การฝึกที่จะจดจ่ออยู่กับประสบการณ์ปัจจุบัน แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหรือไม่สบายใจ อาจช่วยลดความไม่สบายใจลงได้ เมื่อเราหยุดพยายามหลีกเลี่ยงความรู้สึกเหล่านั้นและหันมาใส่ใจกับมันแทน ความไม่สบายใจก็อาจจะหายไป 6.ทำไมการพยายาม "อยู่กับปัจจุบัน" จึงเป็นเรื่องยากและอาจให้ผลตรงกันข้าม? การพยายาม "อยู่กับปัจจุบัน" หรือ "ดื่มด่ำกับช่วงเวลา" เป็นเรื่องที่ยากอย่างน่าประหลาดใจ แม้ว่าจะดูเหมือนตรงข้ามกับแนวคิดการใช้เวลาเป็นเครื่องมือเพื่ออนาคต แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงรูปแบบที่แตกต่างกันของการใช้เวลาเป็นเครื่องมือ นั่นคือการใช้เวลาเพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดในปัจจุบัน การพยายามมากเกินไปที่จะจดจ่อกับปัจจุบัน อาจทำให้เราพลาดประสบการณ์นั้นไป เหมือนกับการพยายามหลับมากเกินไปแล้วหลับไม่ลง 7.กิจกรรมแบบ "ไม่มุ่งผลสัมฤทธิ์" คืออะไร และสำคัญอย่างไรในโลกที่หมกมุ่นกับการใช้เวลาเป็นเครื่องมือ? กิจกรรมแบบ "ไม่มุ่งผลสัมฤทธิ์" คือกิจกรรมที่มีค่าในตัวมันเอง ไม่ได้มีเป้าหมายสูงสุดที่ต้องทำให้สำเร็จเพื่อที่จะถือว่ากิจกรรมนั้นเสร็จสมบูรณ์ เช่น การเดินป่า การฟังเพลง หรือการพ
2025-05-20
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] The Fiat Standard (Saifedean Ammous) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ The Fiat Standard เขียนโดย Saifedean Ammous - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TheFiatStandard - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TheFiatStandard - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B09KKVNQBK?tag=9natree-20 #TheFiatStandard #รีวิวTheFiatStandard #สรุปTheFiatStandard #หนังสือTheFiatStandard 1.อะไรคือแนวคิดหลักของ "Fiat Standard"? แนวคิดหลักของ "Fiat Standard" ที่นำเสนอโดย Saifedean Ammous คือการวิเคราะห์ระบบการเงินแบบ Fiat โดยเปรียบเทียบกับระบบมาตรฐานทองคำและ Bitcoin หนังสือเล่มนี้อธิบายว่าเงิน Fiat นั้นเป็นระบบที่ผูกติดกับการเป็นหนี้ ซึ่งแตกต่างจากระบบที่อิงกับสินทรัพย์จริงอย่างทองคำหรือ Bitcoin เงิน Fiat ถูกสร้างขึ้นผ่านกระบวนการปล่อยสินเชื่อ และมูลค่าของมันก็อิงกับการออกคำสั่งและการควบคุมของรัฐบาลและธนาคารกลางเป็นหลัก ซึ่งนำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น การด้อยค่าของเงินอย่างต่อเนื่อง การกระตุ้นให้เกิดหนี้ และการบิดเบือนกลไกตลาด 2.Salability คืออะไร และ Fiat มีคุณสมบัติ Salability อย่างไรเมื่อเทียบกับทองคำและ Bitcoin? Salability หมายถึงระดับที่สินค้าสามารถนำออกสู่ตลาดได้โดยไม่สูญเสียมูลค่าตลาดอย่างมีนัยสำคัญ สามารถพิจารณาได้ตามสามแกน: เวลา พื้นที่ และขนาด Salability ตามเวลาหมายถึงความสามารถของสินค้าในการรักษามูลค่าในอนาคต ส่วน Salability ตามพื้นที่วัดจากการลดลงของราคาตลาดที่ผู้ขายได้รับเนื่องจากระยะห่างระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ ทองคำ: มี Salability ตามเวลาสูงเนื่องจากอัตราส่วน Stock-to-Flow ที่สูง แต่มี Salability ตามพื้นที่ต่ำเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงในการขนส่งและจัดเก็บ Fiat: มี Salability ตามพื้นที่สูงมากเนื่องจากการทำธุรกรรมส่วนใหญ่เป็นการบันทึกบัญชีแบบดิจิทัล ซึ่งสามารถส่งข้ามพรมแดนได้ง่ายและรวดเร็วผ่านระบบเครือข่าย เช่น SWIFT อย่างไรก็ตาม Fiat มี Salability ตามเวลาต่ำเนื่องจากการด้อยค่าของเงินอย่างต่อเนื่อง Bitcoin: มี Salability ตามเวลาสูงเช่นเดียวกับทองคำ เนื่องจากอุปทานถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าและลดลงอย่างต่อเนื่อง และมี Salability ตามพื้นที่สูงเช่นเดียวกับ Fiat เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่สามารถส่งข้ามพรมแดนได้ง่ายและรวดเร็ว โดยไม่ขึ้นอยู่กับการควบคุมของรัฐบาล 3.ระบบ Fiat ส่งเสริมการเป็นหนี้และการทำลายเงินออมอย่างไร? ในระบบ Fiat การสร้างหน่วยเงินเกิดขึ้นผ่านกระบวนการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งหมายความว่ายิ่งมีการปล่อยสินเชื่อมากเท่าใด ก็ยิ่งมีโทเค็นเงินมากขึ้นเท่านั้น การทำให้หนี้กลายเป็นเงิน นี้สร้างแรงจูงใจอย่างมากให้บุคคล องค์กร และรัฐบาลก่อหนี้มากขึ้น เพื่อสร้างหน่วยเงินใหม่ๆ นอกจากนี้ การขยายตัวของอุปทานเงินอย่างต่อเนื่องผ่านการกู้ยืมยังทำให้มูลค่าของเงินออมลดลงตามกาลเวลา รัฐบาลและธนาคารกลางมีแรงจูงใจในการลดค่าเงินเพื่อลดภาระหนี้ของตนเอง ทำให้เงินออมของผู้คนถูกกัดเซาะอย่าง stealthy 4.เหตุใด Fiat จึงถูกเรียกว่า "Universal Debt Slavery"? คำว่า "Universal Debt Slavery" ถูกใช้เพื่ออธิบายสภาพที่ระบบ Fiat สร้างขึ้น ซึ่งแรงจูงใจในการก่อหนี้มีอยู่ทุกระดับในระบบเศรษฐกิจ ตั้งแต่บุคคลธรรมดาไปจนถึงรัฐบาล การที่เงิน Fiat ถูกสร้างขึ้นผ่านหนี้ ทำให้ทุกคนในระบบถูกผูกติดอยู่กับโครงสร้างหนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้กู้หรือผู้ให้กู้ นอกจากนี้ การด้อยค่าของเงินออมในระบบ Fiat ยังบังคับให้ผู้คนต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เพื่อรักษาอำนาจซื้อของตนเอง ซึ่งเป็นการแบกรับความเสี่ยงเพิ่มเติม 5.ระบบการเงิน Fiat แตกต่างจากระบบที่อิงกับสินทรัพย์จริงอย่างไรในเชิงการดำเนินงาน? ในระบบที่อิงกับสินทรัพย์จริง เช่น มาตรฐานทองคำ หรือในเครือข่าย Bitcoin การทำธุรกรรมจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีสินทรัพย์นั้นอยู่จริง ผู้ขายหรือผู้ให้กู้ที่ยอมรับคำสัญญาว่าจะได้รับสินทรัพย์ในอนาคต จะต้องแบกรับความเสี่ยงของการไม่ได้รับสินทรัพย์นั้น ตรงกันข้าม ในระบบ Fiat รัฐบาลให้การค้ำประกันสินเชื่อ ทำให้หน่วยเงินที่ยังไม่มีอยู่จริง ถูกนำมาใช้เพื่อชำระธุรกรรมในปัจจุบัน เมื่อมีการปล่อยสินเชื่อ จำนวนโทเค็นเงินในระบบจะเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้มูลค่าของโทเค็นที่มีอยู่เดิมลดลง การเพิ่มขึ้นของอุปทานเงิน Fiat ไม่ได้ถูกกำหนดโดยโปรโตคอลที่ตายตัวเหมือน Bitcoin แต่เป็นผลรวมสุทธิของการสร้างหนี้ 6.Bitcoin เสนอโซลูชันสำหรับปัญหาของ Fiat อย่างไร? Bitcoin เสนอโซลูชันสำหรับปัญหาหลายประการของระบบ Fiat: Salability ข้ามพื้นที่: Bitcoin มี Salability ข้ามพื้นที่สูง ทำให้ส
2025-05-20
08 min
9Natree Thailand
[รีวิว] The Bitccoin Standard (Saifedean Ammous) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ The Bitccoin Standard เขียนโดย Saifedean Ammous - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TheBitcoinStandard - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TheBitcoinStandard - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B07BPM3GZQ?tag=9natree-20 #TheBitcoinStandard #รีวิวTheBitcoinStandard #สรุปTheBitcoinStandard #หนังสือTheBitcoinStandard 1.เงินคืออะไรและมีวิวัฒนาการอย่างไรตลอดประวัติศาสตร์? เงินคือเครื่องมือทางสังคมที่ช่วยให้สามารถแลกเปลี่ยนมูลค่าข้ามเวลาและพื้นที่ได้ เริ่มต้นจากการแลกเปลี่ยนโดยตรง ซึ่งเหมาะสำหรับเศรษฐกิจขนาดเล็ก แต่ไม่สามารถขยายขนาดได้เนื่องจากปัญหา "ความต้องการที่ไม่ตรงกัน" มนุษย์จึงเริ่มใช้ "เงินดั้งเดิม" เช่น เปลือกหอย หินขนาดใหญ่ หรือวัวควาย ซึ่งถูกเลือกตามความ "ขายง่าย" ของมันในแง่ของการแบ่งขนาด การขนส่งข้ามพื้นที่ และการรักษาคุณค่าข้ามเวลา โลหะมีค่า โดยเฉพาะทองคำและเงิน ได้กลายเป็นรูปแบบเงินที่โดดเด่นเนื่องจากความทนทาน การแบ่งขนาดได้ และความหายากสัมพัทธ์ เมื่อเทคโนโลยีการขุดและการผลิตก้าวหน้า โลหะเหล่านี้จึงถูกนำมาผลิตเป็นเหรียญมาตรฐาน ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการขายได้อย่างมาก ยุคมาตรฐานทองคำในปลายศตวรรษที่ 19 แสดงถึงจุดสูงสุดของทองคำในฐานะเงิน ก่อนที่รัฐบาลจะเข้ามาควบคุมการผลิตเงินและเปลี่ยนไปใช้ "เงินตราที่รัฐบาลออก" หรือ Fiat Money ซึ่งเดิมมักจะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นทองคำหรือเงินได้ แต่ในที่สุดก็กลายเป็นเงินที่ไม่มีการค้ำประกันใดๆ การศึกษาประวัติศาสตร์ของเงินแสดงให้เห็นว่าคุณสมบัติที่สำคัญของเงินที่ดีคือความ "แข็งแกร่ง" ซึ่งหมายถึงความยากในการเพิ่มปริมาณการผลิตใหม่เมื่อเทียบกับปริมาณที่มีอยู่แล้ว 2.เงินตราที่รัฐบาลออก แตกต่างจากเงินสินค้าโภคภัณฑ์อย่างไร? ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างเงินตราที่รัฐบาลออกและเงินสินค้าโภคภัณฑ์ อยู่ที่การควบคุมอุปทาน เงินสินค้าโภคภัณฑ์มีมูลค่าในตัวเอง และอุปทานถูกจำกัดโดยต้นทุนและความยากลำบากในการผลิต การซื้อขายเงินสินค้าโภคภัณฑ์ไม่ต้องอาศัยผู้ดูแลหรือบุคคลที่สาม ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากผู้ใด ในทางตรงกันข้าม เงินตราที่รัฐบาลออกมีมูลค่าตามคำสั่งของรัฐบาล และอุปทานถูกควบคุมโดยธนาคารกลาง รัฐบาลสามารถเพิ่มอุปทานของเงินตราที่รัฐบาลออกได้ตามอำเภอใจ ซึ่งนำไปสู่การด้อยค่าอย่างต่อเนื่องผ่านอัตราเงินเฟ้อ สิ่งนี้จะส่งผลให้ผู้ถือเงินสูญเสียความมั่งคั่ง ในขณะที่ผู้ที่สามารถพิมพ์เงินหรือเข้าถึงเงินใหม่ได้ก่อนจะได้รับประโยชน์ นอกจากนี้ การควบคุมระบบธนาคารและกฎหมายบังคับใช้หนี้ ยังจำกัดความสามารถของผู้คนในการใช้รูปแบบเงินอื่น ๆ เงินตราที่รัฐบาลออกยังมีความเสี่ยงต่อการยึดหรือการควบคุมเงินทุน ซึ่งไม่เป็นปัญหาสำหรับเงินสินค้าโภคภัณฑ์ 3.Bitcoin คืออะไร และแตกต่างจากเงินรูปแบบอื่น ๆ ที่เคยมีมาอย่างไร? Bitcoin คือระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบเพียร์ทูเพียร์ที่ไม่ต้องอาศัยบุคคลที่สามที่น่าเชื่อถือ เป็นเงินดิจิทัลรูปแบบแรกที่ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหา "การใช้จ่ายซ้ำซ้อน" โดยไม่ต้องพึ่งพาศูนย์กลางการควบคุม Bitcoin เป็นนวัตกรรมที่ใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล รวมถึงเครือข่ายเพียร์ทูเพียร์ที่กระจายอำนาจ การเข้ารหัสแบบ Public Key Hashing และ Proof-of-Work เพื่อสร้างสกุลเงินที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากเงินรูปแบบเดิมอย่างสิ้นเชิง แตกต่างจากเงินตราที่รัฐบาลออก อุปทานของ Bitcoin ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าด้วยอัตราที่ลดลงเรื่อยๆ และถูกจำกัดไว้ที่ 21 ล้านเหรียญ สิ่งนี้ทำให้ Bitcoin เป็นรูปแบบของ "ความขาดแคลนสัมบูรณ์" ครั้งแรกในรูปแบบดิจิทัล ทำให้มันมีความสามารถในการรักษาคุณค่าข้ามเวลาได้ดีเยี่ยม นอกจากนี้ ลักษณะการกระจายอำนาจของ Bitcoin หมายความว่าไม่มีหน่วยงานใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือสถาบันการเงิน สามารถควบคุม ยึด หรือด้อยค่าสกุลเงินได้โดยพลการ ทำให้ผู้ถือ Bitcoin มีความเป็นเจ้าของ เหนือเงินของตนเองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในยุคดิจิทัล 4.Bitcoin แก้ปัญหาอะไร และมีความสำคัญในยุคดิจิทัลอย่างไร? Bitcoin มุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาที่มนุษย์ต้องเผชิญมาตลอดประวัติศาสตร์ นั่นคือ การสร้างรูปแบบเงินที่สามารถเคลื่อนย้ายมูลค่าข้ามเวลาและพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ยังคงคุณค่าในระยะยาวได้ ในยุคดิจิทัล การทำธุรกรรมทางกายภาพกลายเป็นสิ่งที่ไม่สะดวก และการชำระเงินแบบดิจิทัลมักต้องอาศัยตัวกลาง ซึ่งจำกัดความเป็นเจ้าของของผู้ใช้และทำให้พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของบุคคลที่สาม นอกจากนี้ การเปลี่ยนจากเงินสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำไปสู่
2025-05-20
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Healing Is the New High (Vex King) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Healing Is the New High เขียนโดย Vex King - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/HealingIstheNewHigh - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/HealingIstheNewHigh - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B08SGGPTLR?tag=9natree-20 #HealingIstheNewHigh #รีวิวHealingIstheNewHigh #สรุปHealingIstheNewHigh #หนังสือHealingIstheNewHigh 1. หนังสือกล่าวถึงประเด็นหลักอะไรบ้าง? หนังสือเล่มนี้มีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอเทคนิคการบำบัดภายใน เพื่อช่วยให้ผู้อ่านปล่อยวางอดีตที่ยากลำบากและเยียวยาบาดแผลทางอารมณ์หรือบาดแผลทางใจ โดยนำเสนอแนวคิดว่าผู้อ่านมีศักยภาพและความแข็งแกร่งในการสร้างสรรค์ชีวิตที่คู่ควรกับตนเองและเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น หนังสือเล่มนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการยอมรับบาดแผลทางใจที่เคยเกิดขึ้น การค้นพบความเชื่อที่จำกัด และการนำเสนอวิธีการเยียวยาผ่านการฝึกฝนต่างๆ เช่น การทำสมาธิ การเคลื่อนไหวร่างกาย การตั้งขอบเขต และการเขียนความเชื่อใหม่ที่เสริมพลัง2. ทำไมผู้เขียนจึงตัดสินใจเขียนหนังสือเล่มนี้? ผู้เขียนได้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นจากประสบการณ์ชีวิตที่ไม่ได้ง่ายเสมอไป และจากการที่ได้ใช้เทคนิคการบำบัดภายในที่นำเสนอในหนังสือเพื่อปล่อยวางอดีตที่เจ็บปวดและเยียวยาบาดแผลทางอารมณ์หรือบาดแผลทางใจของตนเอง เขายังต้องการช่วยเหลือผู้อื่นในการก้าวไปข้างหน้าบนเส้นทางการเยียวยาของตนเองด้วย การแบ่งปันเรื่องราวส่วนตัว โดยเฉพาะเรื่องราวการเลิกราที่เจ็บปวด ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเต็มใจที่จะเปิดเผยส่วนที่มืดมิดของตนเอง เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านทำเช่นเดียวกันและดึงแสงสว่างกลับเข้ามาในชีวิต3. บาดแผลทางใจส่งผลกระทบต่อบุคคลอย่างไรบ้างตามที่กล่าวในหนังสือ? หนังสือกล่าวว่าบาดแผลทางใจบิดเบือนและทำให้ความคิดเชิงลบ ความรู้สึก และความรู้สึกทางกายเข้มข้นขึ้น ทำให้เรามีผิวหนังที่บางลง ไวต่อความรู้สึกมากเกินไป เฝ้าระวังมากเกินไป และมีแนวโน้มที่จะเจ็บปวด บาดแผลทางใจมักจะเป็นแบบครอบคลุม ทำให้ความสนใจของเราจดจ่ออยู่ที่ความเจ็บปวดและการพยายามหลีกเลี่ยงมันอย่างยิ่งยวด นอกจากนี้ บาดแผลทางใจยังฝังอยู่ในร่างกายของเรา อาจปรากฏในรูปแบบของการบาดเจ็บ รอยแผลเป็น หรือท่าทางการเคลื่อนไหวที่พัฒนาขึ้นเนื่องจากการวิพากษ์วิจารณ์หรือความกดดันให้ปฏิบัติตามบรรทัดฐาน4. แนวคิดเรื่อง "เจ็ดร่างกาย" ที่กล่าวถึงในหนังสือคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรต่อการเยียวยา? แนวคิดเรื่อง "เจ็ดร่างกาย" หรือเจ็ดชั้นที่ประกอบขึ้นเป็นตัวตนของเราถูกนำเสนอโดยอาศัยการตีความจากบางสำนักโยคะ ซึ่งรวมถึง Kundalini ร่างกายเหล่านี้ได้แก่ กายเนื้อ, ร่างกายแห่งพลังชีวิต , ร่างกายแห่งจิตใจ , ร่างกายแห่งปัญญา , ร่างกายแห่งวิญญาณ , ร่างกายแห่งความสุข , และร่างกายแห่งนิพพาน หนังสืออธิบายว่าบาดแผลทางใจไม่ได้เกิดขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ส่งผลกระทบต่อทั้งเจ็ดร่างกายนี้ และเนื่องจากแต่ละร่างกายมีส่วนในการรับรู้ การเคลื่อนไหว การหายใจ การกระทำ และการใช้ชีวิต การเยียวยาภายในจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากเยียวยาเพียงร่างกายเดียว เราต้องทำงานกับทั้งเจ็ดร่างกายและอนุญาตให้เกิดการเชื่อมต่อใหม่ระหว่างร่างกายเหล่านั้น5. "ความเชื่อที่จำกัด" คืออะไร และเราจะค้นพบและเปลี่ยนแปลงมันได้อย่างไร? "ความเชื่อที่จำกัด" คือความเชื่อในจิตใต้สำนึกที่เรามีเกี่ยวกับตนเองและโลกที่จำกัดวิธีที่เราใช้ชีวิต ความเชื่อเหล่านี้มักมีรากฐานมาจากประสบการณ์ในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ที่เจ็บปวด เพื่อค้นพบความเชื่อที่จำกัดเหล่านี้ หนังสือแนะนำการทำสมาธิโดยการทบทวนรายการประวัติส่วนตัว และถามตัวเองว่า "ฉันสร้างความเชื่อเพราะความทรงจำนี้หรือไม่?" เมื่อระบุความเชื่อที่จำกัดได้แล้ว หนังสือแนะนำให้เขียนความเชื่อใหม่ที่เสริมพลัง โดยการมองย้อนกลับไปที่ความทรงจำนั้นและใช้กระบวนการ "Reparenting" หรือการเป็นผู้ใหญ่ที่พูดคุยกับตัวตนในวัยเด็กด้วยความเห็นอกเห็นใจและคำแนะนำที่จำเป็น6. การตั้งขอบเขตมีความสำคัญอย่างไรต่อการเยียวยาตนเอง? การตั้งขอบเขตคือการกำหนดขีดจำกัดเพื่อปกป้องอารมณ์ พื้นที่ส่วนตัว และพลังงานของเรา เป็นวิธีสื่อสารให้ผู้อื่นทราบว่าเราไม่พร้อมที่จะยอมรับน้อยกว่าที่เราคู่ควรอีกต่อไป และเราจะไม่ยอมทนต่อการถูกละเลยหรือถูกลืม การตั้งขอบเขตมีความสำคัญในความสัมพันธ์ทุกประเภท และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เรารักมากที่สุด เพราะเราได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากคนที่เรารัก เมื่อเราเคารพขอบเขตของตนเอง ผู้อื่นก็จะเคารพเช่นกัน และเมื่อเราเริ่มทำเช่นนั้น เราจะเปิดพื้นที่ให้ตัวเองเติบโตในเส้นทางการเยียวยา
2025-05-20
08 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Start with Why (Simon Sinek) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Start with Why เขียนโดย Simon Sinek - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/StartwithWhy - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/StartwithWhy - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0F6X8P3L5?tag=9natree-20 #StartwithWhy #รีวิวStartwithWhy #สรุปStartwithWhy #หนังสือStartwithWhy 1.องค์กรที่เริ่มต้นด้วย 'ทำไม' แตกต่างจากองค์กรอื่นอย่างไร? องค์กรที่เริ่มต้นด้วย 'ทำไม' ไม่เพียงแต่บอกว่าพวกเขาทำอะไร หรือทำอย่างไร แต่พวกเขาสื่อสารจากภายในสู่ภายนอก โดยเริ่มจากวัตถุประสงค์, สาเหตุ หรือความเชื่อที่เป็นแรงผลักดันหลัก ซึ่งนี่คือสิ่งที่แตกต่างจากองค์กรส่วนใหญ่ที่มักจะสื่อสารจากภายนอกสู่ภายใน การเริ่มต้นด้วย 'ทำไม' นี้ช่วยให้องค์กรสร้างแรงบันดาลใจ สร้างความภักดี และดึงดูดผู้คนที่เชื่อในสิ่งเดียวกับพวกเขา ตัวอย่างเช่น Apple ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานลูกค้าผู้ภักดีอย่างมาก ไม่ใช่เพราะพวกเขาแค่ผลิตคอมพิวเตอร์คุณภาพดี แต่เพราะพวกเขาเชื่อในการท้าทายสภาพที่เป็นอยู่ และผลิตภัณฑ์ของพวกเขา เป็นเพียงข้อพิสูจน์ถึงความเชื่อนั้น 2.วงกลมทองคำ คืออะไร และมีความเกี่ยวข้องกับชีววิทยาของมนุษย์อย่างไร? วงกลมทองคำประกอบด้วยสามชั้น ได้แก่ 'ทำไม' อยู่ตรงกลาง 'ทำอย่างไร' อยู่ชั้นกลาง และ 'อะไร' อยู่ชั้นนอกสุด การสื่อสารแบบ "เริ่มต้นด้วย ทำไม" จะเริ่มจากวงกลมชั้นในสุดออกไปสู่ชั้นนอกสุด ซึ่งสอดคล้องกับโครงสร้างสมองของมนุษย์อย่างแม่นยำ สมองส่วนนีโอคอร์เทกซ์ ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ใหม่ที่สุด สอดคล้องกับระดับ 'อะไร' มีหน้าที่ในการคิดอย่างมีเหตุผล วิเคราะห์ และภาษา ในขณะที่สมองส่วนลิมบิก สองส่วนตรงกลาง สอดคล้องกับระดับ 'ทำอย่างไร' และ 'ทำไม' มีหน้าที่ในการควบคุมความรู้สึก พฤติกรรม และการตัดสินใจ การตัดสินใจที่มาจาก "สัญชาตญาณ" หรือ "ความรู้สึก" นั้นเกิดขึ้นในสมองส่วนลิมบิกนี้ การสื่อสารที่เริ่มต้นจาก 'ทำไม' จึงสามารถเข้าถึงส่วนของสมองที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมและความรู้สึกได้โดยตรง ซึ่งแตกต่างจากการสื่อสารที่เน้นเพียงแค่คุณสมบัติและประโยชน์ ซึ่งจะเข้าถึงได้เพียงแค่สมองส่วนนีโอคอร์เทกซ์เท่านั้น 3.ทำไมการใช้กลยุทธ์ "แครอทและไม้เรียว" หรือการบงการแบบอื่นๆ จึงไม่สามารถสร้างความภักดีได้? "แครอทและไม้เรียว" เช่น การลดราคา โปรโมชั่น ความกลัว หรือแรงบันดาลใจเทียม เป็นการบงการพฤติกรรมในระยะสั้นเพื่อขับเคลื่อนการทำธุรกรรม ไม่ใช่การสร้างความสัมพันธ์หรือความภักดี การให้รางวัลหรือการใช้ความกลัวอาจได้ผลดีในสถานการณ์ที่ต้องการให้เกิดพฤติกรรมเพียงครั้งเดียวหรือไม่บ่อยนัก เช่น การให้รางวัลนำจับ หรือการลดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขาย แต่กลยุทธ์เหล่านี้มีต้นทุนสูงและไม่ได้สร้างความผูกพันที่ยั่งยืน เมื่อการบงการสิ้นสุดลง พฤติกรรมที่ถูกกระตุ้นก็จะหายไป ลูกค้าที่ถูกดึงดูดด้วยการบงการมักจะไม่มีความภักดีต่อแบรนด์ แต่จะย้ายไปหาข้อเสนอที่ดีกว่าเสมอ ในทางกลับกัน ความภักดีที่แท้จริงมาจากการที่ผู้คนเชื่อในสิ่งเดียวกับองค์กร ซึ่งทำให้พวกเขายินดีที่จะสนับสนุนแม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก 4.ความภักดีของลูกค้ามาจากไหน และมีความสำคัญอย่างไรต่อความสำเร็จในระยะยาว? ความภักดีของลูกค้าที่แท้จริงไม่ได้มาจากการซื้อ 'อะไร' ที่องค์กรทำ แต่มาจากการซื้อ 'ทำไม' ที่องค์กรทำ เมื่อลูกค้าเชื่อในวัตถุประสงค์, สาเหตุ หรือความเชื่อขององค์กร พวกเขาก็จะรู้สึกเชื่อมโยงและมีความผูกพันทางอารมณ์ ความภักดีนี้เกิดจากสมองส่วนลิมบิก ซึ่งเป็นส่วนเดียวกับที่ควบคุมความรู้สึกและการตัดสินใจ "จากสัญชาตญาณ" ลูกค้าที่ภักดีจะไม่ถูกล่อลวงได้ง่ายๆ ด้วยข้อเสนอหรือโปรโมชั่นจากคู่แข่ง และมักจะเต็มใจที่จะจ่ายราคาพรีเมียมสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สะท้อนความเชื่อของพวกเขา ความภักดีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดและความสำเร็จในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่ดี ดังที่เห็นได้จากกรณีของ Southwest Airlines ที่ลูกค้าผู้ภักดีส่งเช็คไปช่วยสนับสนุนบริษัทหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 5.ทำไมบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงบางแห่งจึงประสบปัญหาเมื่อผู้นำผู้ก่อตั้งจากไป? บริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงภายใต้การนำของผู้ก่อตั้งมักจะมีผู้นำที่เป็นภาพสะท้อนของ 'ทำไม' ขององค์กรนั้นๆ พวกเขาเป็นผู้ที่ถ่ายทอดความเชื่อและสร้างแรงบันดาลใจให้กับทั้งพนักงานและลูกค้า อย่างไรก็ตาม หาก 'ทำไม' นี้ไม่ได้ถูกปลูกฝังและถ่ายทอดลงไปในวัฒนธรรมและโครงสร้างขององค์กรอย่างเหมาะสม เมื่อผู้นำผู้ก่อตั้งจากไป 'ทำไม' ขององค์กรก็จะเริ่ม "ไม่ชัดเจน" หรือหายไป บริษัทก็จะกลับไปเน้นที่การทำ 'อะไ
2025-05-18
08 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Ego Is the Enemy (Ryan Holiday) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Ego Is the Enemy เขียนโดย Ryan Holiday - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/EgoIstheEnemy - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/EgoIstheEnemy - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B015NTIXWE?tag=9natree-20 #EgoIstheEnemy #รีวิวEgoIstheEnemy #สรุปEgoIstheEnemy #หนังสือEgoIstheEnemy 1. อะไรคือคำจำกัดความของ "ตัวตน" ในบริบทของหนังสือเล่มนี้? ตามหนังสือ "Ego Is the Enemy" คำว่า "ตัวตน" ที่ใช้ในที่นี้หมายถึง "ความเชื่อที่ไม่ดีต่อสุขภาพในความสำคัญของเราเอง" ซึ่งรวมถึงความเย่อหยิ่ง ความทะเยอทะยานที่เน้นตนเอง และความรู้สึกว่าเราเหนือกว่าหรือดีกว่าผู้อื่นเกินขอบเขตของความมั่นใจและพรสวรรค์ที่แท้จริง มันเปรียบเสมือน "เด็กที่เอาแต่ใจ" ภายในตัวทุกคนที่เลือกที่จะทำตามใจตนเองเหนือสิ่งอื่นใด นี่คือตัวตนที่ทำให้เราต้องการเป็น "มากกว่า" ได้รับการยอมรับ "มากกว่า" เกินกว่าประโยชน์ที่สมเหตุสมผล ตัวตนนี้ทำให้การรับรู้ของเราเกี่ยวกับตนเองและโลกรอบตัวบิดเบือนไปจากความเป็นจริง และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตนเอง การทำงานร่วมกับผู้อื่น และความสำเร็จในระยะยาว2. เหตุใด "ตัวตน" จึงถูกมองว่าเป็นศัตรูในเส้นทางสู่ความสำเร็จและการเติบโตส่วนบุคคล? ตัวตนถูกมองว่าเป็นศัตรูเพราะมันบ่อนทำลายเราในทุกขั้นตอนของเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่หรือเล็ก ตัวตนจะขัดขวางเราตั้งแต่เริ่มต้น มันทำให้เราสร้างเรื่องราวเพ้อฝันเกี่ยวกับตัวเอง แสร้งทำเป็นว่ารู้ทุกอย่าง ปล่อยให้ความโดดเด่นของเราลุกโชนอย่างรวดเร็วแต่ก็มอดไหม้ไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ในช่วงประสบความสำเร็จ ตัวตนทำให้เราคิดว่าเราพิเศษ กฎไม่สามารถใช้กับเราได้ ทำให้เราหยุดเรียนรู้ หยุดฟัง และสูญเสียสิ่งที่สำคัญไป ในช่วงความล้มเหลว ตัวตนทำให้เราไม่พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก และบ่อยครั้งก็เป็นสาเหตุให้เกิดความล้มเหลวเสียเอง การต่อสู้กับตัวตนจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้มันทำลายเราในทุกช่วงของชีวิต3. ตัวตนแสดงออกอย่างไรในสามช่วงหลักของชีวิต: ความปรารถนา ความสำเร็จ และความล้มเหลว? ความปรารถนา : ในช่วงที่เรากำลังเริ่มต้นและมุ่งมั่นที่จะทำบางสิ่ง ตัวตนจะทำให้เราสร้างเรื่องราวเพ้อฝันเกี่ยวกับตัวเอง แสร้งทำเป็นว่ามีทุกอย่างอยู่ในมือ ปล่อยให้ความโดดเด่นของเราลุกโชนเร็วแต่ก็มอดไหม้เร็ว ขาดความถ่อมตนและความเข้าใจในความเป็นจริง ตัวตนยังทำให้เรา "พูดคุยมากเกินไป" แทนที่จะลงมือทำจริง ทำให้เราคิดว่าเรา "เป็น" บางสิ่งแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ "ลงมือทำ" มันยังก่อให้เกิดความภาคภูมิใจก่อนเวลาอันควรและความอ่อนแอ ความสำเร็จ : เมื่อเราประสบความสำเร็จ ตัวตนจะเข้ามาเล่นงานความคิดและบั่นทอนความตั้งใจที่ทำให้เราชนะตั้งแต่แรก ตัวตนทำให้เราคิดว่าเราพิเศษและเหนือกว่าผู้อื่น กฎไม่สามารถใช้กับเราได้ เราหยุดเรียนรู้ หยุดฟัง และสูญเสียสิ่งที่สำคัญไป ตัวตนในระยะนี้สามารถนำไปสู่ความพินาศทางธุรกิจ ความสัมพันธ์ และชีวิตส่วนตัวได้ เนื่องจากเราขาดความยับยั้งชั่งใจ ควบคุมไม่ได้ และอาจถึงขั้นหวาดระแวง ความล้มเหลว : เมื่อเราเผชิญกับความล้มเหลว ตัวตนทำให้เราไม่พร้อมรับมือ มันทำให้เรามองหาข้อแก้ตัว หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความจริง และอาจนำไปสู่พฤติกรรมทำลายล้าง ตนเอง ตัวตนที่ถูกคุกคามเป็นหนึ่งในพลังที่อันตรายที่สุด ทำให้คนเราตอบสนองด้วยความก้าวร้าว ความเดียดฉาน หรือการปฏิเสธความจริง ตัวตนในระยะนี้สามารถทำให้ความล้มเหลวกลายเป็นเรื่องถาวรได้ หากเราไม่เรียนรู้จากข้อผิดพลาด4. ความถ่อมตนมีบทบาทสำคัญอย่างไรในการเอาชนะตัวตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเริ่มต้นของความปรารถนา? ความถ่อมตนเป็นยาแก้พิษสำหรับตัวตน โดยเฉพาะในช่วงที่เรายังเป็น "นักเรียน" ความถ่อมตนทำให้เราเปิดรับการเรียนรู้จากผู้อื่น ยอมรับว่ายังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้ และไม่คิดว่าตัวเองรู้ดีที่สุด การเป็นนักเรียนตลอดชีวิตเป็นสิ่งสำคัญทั้งในการเริ่มต้นและคงความยิ่งใหญ่ไว้ ความถ่อมตนทำให้เราสามารถรับฟีดแบ็กอย่างตรงไปตรงมา มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากภายใน และมองหาโอกาสที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งจะช่วยให้เราเรียนรู้ได้มาก และสร้างชื่อเสียงที่ดี5. การเป็น "นักเรียน" ตลอดชีวิตมีความหมายอย่างไรในการต่อสู้กับตัวตนในทุกช่วงของชีวิต? การเป็น "นักเรียน" ตลอดชีวิตหมายถึงการเปิดรับการเรียนรู้จากทุกคนและทุกสิ่งอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงความปรารถนา ความสำเร็จ หรือความล้มเหลวก็ตาม มันคือการซึมซับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว กรองข้อมูล ยึดติดกับสิ่งที่สามารถนำไปใช้ได้ การเป็นนักเรียนต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์ตนเองและมีแรงจูงใจในตนเอง พยายามป
2025-05-18
07 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Why Nations Fail (Daron Acemoglu) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Why Nations Fail เขียนโดย Daron Acemoglu - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/WhyNationsFail - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/WhyNationsFail - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0058Z4NR8?tag=9natree-20 #WhyNationsFail #รีวิวWhyNationsFail #สรุปWhyNationsFail #หนังสือWhyNationsFail 1. อะไรคือความแตกต่างพื้นฐานระหว่างสถาบันที่ส่งเสริมความสำเร็จทางเศรษฐกิจกับสถาบันที่ไม่ส่งเสริมความสำเร็จทางเศรษฐกิจ? แหล่งข้อมูลเน้นความแตกต่างระหว่าง "สถาบันแบบครอบคลุม" และ "สถาบันแบบสกัดกั้น" สถาบันแบบครอบคลุมคือสถาบันที่อนุญาตและส่งเสริมให้ประชากรส่วนใหญ่มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ด้วยระบบที่ให้การปกป้องทรัพย์สินที่เป็นธรรม บังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นกลาง และสร้างโอกาสสำหรับทุกคนโดยไม่คำนึงถึงภูมิหลัง ตัวอย่างเช่น ระบบสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริกาที่ช่วยให้คนที่มีความคิดสร้างสรรค์จากทุกชนชั้นสามารถได้รับสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและสร้างธุรกิจของตนเองได้ ในทางตรงกันข้าม สถาบันแบบสกัดกั้นคือสถาบันที่ออกแบบมาเพื่อสกัดกั้นความมั่งคั่งและอำนาจไปยังชนชั้นนำหรือกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ โดยจำกัดการเข้าถึงโอกาส การละเมิดสิทธิในทรัพย์สิน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม ตัวอย่างที่ชัดเจนคือระบบกุลต์ในเอธิโอเปียที่เจ้าของกุลต์สามารถสกัดกั้นผลผลิตทางการเกษตรจำนวนมากจากชาวนา หรือระบบสัมปทานและผูกขาดในเม็กซิโกภายใต้การปกครองของซานตา อานา และดิอาซ ที่เอื้อประโยชน์ให้กับผู้สนับสนุนของพวกเขา2. เหตุใดประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาจึงประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจมากกว่าประเทศอย่างเม็กซิโกหรือส่วนอื่นๆ ของละตินอเมริกา? ความแตกต่างนี้มีรากฐานมาจากการก่อตั้งอาณานิคมในช่วงต้น แหล่งข้อมูลระบุว่าเกิดความแตกต่างทางสถาบันอย่างรวดเร็วในยุคอาณานิคม การก่อตั้งอาณานิคมในอเมริกาเหนือมักจะนำไปสู่การสร้างสถาบันที่มีลักษณะครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งส่งเสริมการตั้งถิ่นฐาน การทำงานหนัก และนวัตกรรม ในขณะที่การก่อตั้งอาณานิคมในละตินอเมริกาส่วนใหญ่นำไปสู่การสร้างสถาบันแบบสกัดกั้นที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมและสกัดกั้นทรัพยากรและแรงงานจากชนพื้นเมืองและประชากรทั่วไป ความแตกต่างทางสถาบันนี้ยังคงมีผลกระทบมาจนถึงปัจจุบัน เห็นได้จากการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินและโอกาสที่แตกต่างกันในสองภูมิภาคนี้3. บทบาทของนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ในสถาบันประเภทต่างๆ คืออะไร? สถาบันแบบครอบคลุมจะส่งเสริมและปกป้องนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ระบบสิทธิบัตรในอังกฤษและสหรัฐอเมริกาเป็นตัวอย่างของสถาบันที่ให้แรงจูงใจในการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ และอนุญาตให้บุคคลได้รับประโยชน์จากความคิดของตน ซึ่งนำไปสู่ "การทำลายล้างเชิงสร้างสรรค์" ที่เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ของเก่า ในทางตรงกันข้าม สถาบันแบบสกัดกั้นมักจะกลัวการทำลายล้างเชิงสร้างสรรค์ เนื่องจากอาจบ่อนทำลายอำนาจและผลประโยชน์ของชนชั้นนำ แหล่งข้อมูลกล่าวถึงตัวอย่างของเดนิส ปาปิน กับเรือกลไฟของเขาที่ถูกกีดกันโดยสมาคมเรือกลไฟในเยอรมนี หรือการต่อต้านการก่อตั้งโรงงานและทางรถไฟในรัสเซียและออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสถาบันแบบสกัดกั้นมักจะขัดขวางความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี4. เหตุใดสถาบันแบบสกัดกั้นจึงไม่สามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนได้? แม้สถาบันแบบสกัดกั้นอาจสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ในบางช่วงเวลา แต่การเติบโตนี้มักจะไม่ยั่งยืน แหล่งข้อมูลอธิบายว่าการเติบโตภายใต้สถาบันแบบสกัดกั้นมีข้อจำกัด เนื่องจากขาดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและมีแรงจูงใจในการลงทุนและนวัตกรรมที่ต่ำ นอกจากนี้ สถาบันแบบสกัดกั้นยังส่งเสริมการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างกลุ่มต่างๆ ที่ต้องการควบคุมรัฐและการสกัดกั้นที่เกิดขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความไม่มั่นคงและความขัดแย้ง ตัวอย่างของอาณาจักรมายาแสดงให้เห็นว่าการเติบโตภายใต้สถาบันแบบสกัดกั้นสามารถนำไปสู่ความขัดแย้งภายในและท้ายที่สุดก็นำไปสู่ความล่มสลายได้5. การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ ในอังกฤษส่งผลกระทบต่อการพัฒนาสถาบันและเศรษฐกิจอย่างไร? การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ในปี 1688 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์อังกฤษ ทำให้ระบบการเมืองเปิดกว้างมากขึ้นและตอบสนองต่อความต้องการของสังคม อำนาจได้ย้ายจากกษัตริย์มาสู่รัฐสภา ซึ่งมีสมาชิกจำนวนมากที่มีผลประโยชน์ในการค้าและอุตสาหกรรม สิ่งนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสถาบันทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น การบังคับใช้สิทธิในทรัพย์สินอย่างเข้มงวด การยกเลิกการผูกขาดโดยส่วนใหญ่ การส่งเสริมกิจกรรมทางการค้า และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและคลอง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สร้างแรงจูงใจและโอกาสสำหรับการล
2025-05-18
08 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Tiny Experiments How to Live Freely in A Goal Obsessed World ( Anne Laure Le Cunff) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Tiny Experiments How to Live Freely in A Goal Obsessed World เขียนโดย Anne Laure Le Cunff - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TinyExperimentsHowtoLiveFreelyinAGoalObsessedWorld - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TinyExperimentsHowtoLiveFreelyinAGoalObsessedWorld - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0CXM9J9R4?tag=9natree-20 #TinyExperimentsHowtoLiveFreelyinAGoalObsessedWorld #รีวิวTinyExperimentsHowtoLiveFreelyinAGoalObsessedWorld #สรุปTinyExperimentsHowtoLiveFreelyinAGoalObsessedWorld #หนังสือTinyExperimentsHowtoLiveFreelyinAGoalObsessedWorld 1. การตั้งเป้าหมายเชิงเส้นมีข้อจำกัดอย่างไร และวิธีคิดแบบ "การทดลอง" ให้ประโยชน์อย่างไร? การตั้งเป้าหมายเชิงเส้น ซึ่งกำหนดจุดหมายปลายทางในอนาคตและวางแผนขั้นตอนสู่จุดนั้น มีข้อจำกัดที่สำคัญหลายประการ ประการแรก มันสร้างมุมมองที่น่าท้อใจเพราะเรามักจะรู้สึกว่ายังห่างไกลจากความสำเร็จ และความพึงพอใจของเราอยู่ในอนาคต นอกจากนี้ การตั้งเป้าหมายเชิงเส้นอาจนำไปสู่วิสัยทัศน์แคบๆ ที่กำหนดความสำเร็จว่าเป็นการบรรลุจุดหมายปลายทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ทำให้เราพลาดโอกาสอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทาง การมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวอาจทำให้เกิดความกลัวที่จะล้มเหลวและกระตุ้นให้เกิดการใช้กลไกป้องกัน เช่น การวิเคราะห์อัมพาต หรือความเฉื่อยชา ในทางกลับกัน การใช้วิธีคิดแบบ "การทดลอง" ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ช่วยให้เราเข้าหาชีวิตด้วยความเปิดกว้าง ความอยากรู้อยากเห็น และความเต็มใจที่จะเรียนรู้โดยไม่มีแนวคิดที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับจุดหมายปลายทาง ความไม่แน่นอนไม่ได้ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ต้องกลัว แต่เป็นเครื่องมือที่นำเราไปสู่ขั้นตอนต่อไปของการค้นพบ วิธีนี้ช่วยให้เราเปลี่ยนความสงสัยให้เป็นการทดลองเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเรียกว่า "pacts" แทนที่จะมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์สุดท้าย เราจะมุ่งเน้นไปที่การดำเนินการที่ทำซ้ำได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเส้นทางที่เป็นไปได้ ความสำเร็จถูกกำหนดโดยการเรียนรู้และการเติบโตจากการทำซ้ำแต่ละครั้ง ไม่ว่าผลลัพธ์ที่แท้จริงจะเป็นอย่างไร วิธีคิดนี้ส่งเสริมความยืดหยุ่น การปรับตัว และมุมมองเชิงบวกต่อความล้มเหลว ซึ่งถูกมองว่าเป็นแหล่งข้อมูลอันมีค่าสำหรับการปรับเปลี่ยนเส้นทางของเรา2. แนวคิด "Kairos" แตกต่างจาก "Chronos" อย่างไร และเราจะใช้ประโยชน์จากช่วงเวลา "Kairos" ได้อย่างไร? ภาษาละตินมีคำสองคำสำหรับ "เวลา": Chronos และ Kairos Chronos หมายถึงเวลาเชิงปริมาณที่วัดได้ด้วยนาฬิกาและปฏิทิน ซึ่งเรามักจะพยายามจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ Kairos หมายถึงคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณของเวลา มันตระหนักดีว่าแต่ละช่วงเวลานั้นมีเอกลักษณ์และมีวัตถุประสงค์เฉพาะ ไม่ใช่หน่วยคงที่ที่จะถูกจัดสรรอย่างกลไก Kairos หมายถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินการ การเปิด โอกาสที่สมบูรณ์แบบ ช่วงเวลาเหล่านี้เรียกว่า "magic windows" คือช่วงเวลาแห่งความคิดสร้างสรรค์และความ productive ที่เกิดขึ้นเมื่อเราจดจ่ออยู่กับกิจกรรมที่ดึงความสนใจของเราอย่างเต็มที่ เมื่อเราใช้เวลากับคนที่เรารัก หรือเมื่อเรากำลังทำสมาธิ การใช้ประโยชน์จากช่วงเวลา Kairos เกี่ยวข้องกับการตระหนักถึงจังหวะตามธรรมชาติและระดับพลังงานของเรา เช่น chronotype และการจัดกิจกรรมที่ต้องการมากที่สุดในช่วงเวลาที่มีศักยภาพสูงสุดของเรา นอกจากนี้ การสร้าง "Kairos rituals" คือการดำเนินการง่ายๆ ที่สามารถเปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว เชื่อมโยงเราเข้ากับร่างกายของเรา หรือให้โอกาสเราได้ทบทวนตัวเอง สามารถช่วยกระตุ้นให้เกิดช่วงเวลาแห่งความคิดสร้างสรรค์และproductive ได้ การทำความเข้าใจและให้ความสำคัญกับคุณภาพของเวลามากกว่าปริมาณ ช่วยให้เราสามารถสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายและปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ได้3. วิธี "Triple Check" ช่วยให้เราเข้าใจและเอาชนะการผลัดวันประกันพรุ่งได้อย่างไร? การผลัดวันประกันพรุ่งมักไม่ใช่ปัญหาของการขาดวินัย แต่เป็นสัญญาณที่ซ่อนอยู่ซึ่งบ่งชี้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับงาน Triple Check เป็นกระบวนการตรวจสอบสามส่วนเพื่อทำความเข้าใจรากฐานของการผลัดวันประกันพรุ่งและดำเนินการแก้ไข: Head : "งานนี้เหมาะสมหรือไม่?" คำถามนี้ประเมินว่าการดำเนินการนี้เป็นการกระทำที่ฉลาดที่สุดหรือไม่ เราตั้งคำถามถึงประโยชน์ที่เป็นไปได้ของงาน หากไม่เหมาะสมหรือไม่ชัดเจน การลบออกจากรายการงานหรือพิจารณาว่าควรทำหรือไม่ สามารถช่วยประหยัดพลังงานอันมีค่าได้ Heart : "งานนี้สร้างแรงบันดาลใจหรื
2025-05-18
10 min
9Natree Thailand
[รีวิว] The Creative Act A Way of Being (Rick Rubin) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ The Creative Act A Way of Being เขียนโดย Rick Rubin - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TheCreativeActAWayofBeing - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TheCreativeActAWayofBeing - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B09Z7MH5C3?tag=9natree-20 #TheCreativeActAWayofBeing #รีวิวTheCreativeActAWayofBeing #สรุปTheCreativeActAWayofBeing #หนังสือTheCreativeActAWayofBeing 1.การเป็นศิลปินคืออะไร? การเป็นศิลปินไม่ใช่แค่การสร้างสรรค์งานศิลปะในรูปแบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่เป็น "วิถีแห่งการดำรงอยู่" ในโลก เป็นวิธีการรับรู้ ฝึกการเอาใจใส่ และปรับแต่งความไวเพื่อรับรู้สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ซับซ้อนมากขึ้น ทุกคนกำลังสร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว โดยการรับรู้ กรอง และรวรวมข้อมูล แล้วนำมาเรียบเรียงเป็นประสบการณ์สำหรับตัวเองและผู้อื่น ชีวิตทั้งชีวิตของคุณคือรูปแบบหนึ่งของการแสดงออกถึงตัวตน เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอกในจักรวาลแห่งการสร้างสรรค์ 2.แหล่งที่มาของการสร้างสรรค์มาจากไหน? แหล่งที่มาของการสร้างสรรค์ไม่ได้มาจากภายในตัวเราโดยตรง แต่มาจาก "แหล่งที่มา" ภายนอก เป็นภูมิปัญญาที่อยู่รอบตัวเรา เป็นสิ่งที่หาได้ไม่สิ้นสุด และพร้อมใช้งานอยู่เสมอ เราสามารถรับรู้ จดจำ หรือปรับจูนเข้ากับมันได้ ผ่านประสบการณ์ ความฝัน สัญชาตญาณ หรือช่องทางอื่นๆ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก ข้อมูลนี้ปรากฏต่อจิตใจว่ามาจากภายใน แต่เป็นเพียงภาพลวงตา มีเพียงเศษเล็กๆ น้อยๆ ของ "แหล่งที่มา" อันกว้างใหญ่ที่เก็บไว้ในตัวเรา ซึ่งจะผุดขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกเหมือนไอน้ำแล้วกลั่นตัวเป็นความคิดหรือไอเดีย 3.การปรับจูนและสติมีความสำคัญต่อการสร้างสรรค์อย่างไร? การปรับจูนและการมีสติ เป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึง "แหล่งที่มา" สติช่วยให้เราสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวและภายในตัวเราในปัจจุบัน โดยไม่มีความผูกพันหรือการเข้าไปแทรกแซง เป็นการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันชั่วนิรันดร์ การฝึกฝนสติอย่างต่อเนื่องจะช่วยขยายขอบเขตการรับรู้ของเรา ทำให้จักรวาลในมุมมองของเรากว้างขึ้น และเพิ่มพูนแหล่งข้อมูลที่เราสามารถนำมาสร้างสรรค์ได้ การมองอย่างลึกซึ้ง เป็นการมองข้ามสิ่งที่ธรรมดาและจำเจเพื่อไปสู่สิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ คือรากฐานของการสร้างสรรค์ 4.เราจัดการกับความไม่มั่นใจในตัวเองในการสร้างสรรค์ได้อย่างไร? ความไม่มั่นใจในตัวเองมีอยู่ในตัวเราทุกคน และมันมีประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์ ข้อบกพร่องคือความเป็นมนุษย์ และความดึงดูดของงานศิลปะคือความเป็นมนุษย์ที่อยู่ในนั้น เราสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนตัวตนของเรา และหากความไม่มั่นคงเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของเรา ผลงานของเราก็จะมีความจริงมากขึ้นเป็นผลตามมา การสร้างสรรค์งานศิลปะไม่ใช่การแข่งขัน งานของเราเป็นตัวแทนของตัวตนของเรา ไม่มีใครสามารถทำได้นอกจากคุณ มีเพียงคุณเท่านั้นที่มีเสียงของคุณเอง วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการก้าวไปข้างหน้าคือการลดความคาดหวังลง คิดเสียว่างานที่เรากำลังทำอยู่นั้นเป็นเพียงงานเล็กๆ เป็นจุดเริ่มต้น เป้าหมายคือการทำงานให้เสร็จสิ้นเพื่อที่จะได้ก้าวไปสู่โปรเจกต์ต่อไป 5.ทำไมการลองผิดลองถูกและการทดลองจึงมีความสำคัญ? การลองผิดลองถูก เป็นสิ่งจำเป็นในกระบวนการสร้างสรรค์ เราต้องทดลองไปในทิศทางต่างๆ นับไม่ถ้วน และเราไม่มีทางรู้เลยว่าทางไหนจะนำไปสู่ทางตัน และทางไหนจะนำไปสู่ดินแดนใหม่ จนกว่าเราจะลองทดสอบดู การแก้ไขก่อนเวลาอันควรสามารถปิดกั้นเส้นทางที่อาจนำไปสู่ทิวทัศน์ที่สวยงามที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ในขั้นตอนนี้ เราสร้างความเป็นไปได้แทนที่จะกำจัดทิ้ง ความล้มเหลวคือข้อมูลที่เราต้องการเพื่อไปยังที่ที่เรากำลังจะไป ในกระบวนการทดลอง เราอนุญาตให้ตัวเองทำผิดพลาด ก้าวไปไกลเกินไป ก้าวไปไกลยิ่งกว่าเดิม และขาดความชำนาญ ไม่มีความล้มเหลว เนื่องจากทุกก้าวที่เราเดินไปนั้นจำเป็นต่อการไปถึงจุดหมายของเรา รวมถึงก้าวที่ผิดพลาดด้วย 6.เราจะพัฒนาแนวคิดสร้างสรรค์ของเราได้อย่างไร? การพัฒนาแนวคิดสร้างสรรค์ เป็นกระบวนการต่อเนื่อง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และปรับปรุงทักษะของเรา การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องระวังอย่าให้ติดยึดกับ "ร่างแรก" มากเกินไป หรือ "โรคเดโม่ " ซึ่งทำให้เราติดยึดกับเวอร์ชันเริ่มต้นมากเกินไปและปิดกั้นการพัฒนาต่อไป การแบ่งปันงานของเรากับผู้อื่น แม้จะจำกัดวง ก็ช่วยให้เรามองเห็นงานของเราในมุมที่กว้างขึ้น และนำความสงสัยที่ซ่อนอยู่ของเราออกมา งานทุกชิ้นไม่ว่าดูเหมือนจะเล็กน้อยเพียงใด ก็มีบทบาทในวงจรที่ยิ่งใหญ่นี้ โลกยังคงหมุนเวียน
2025-05-18
08 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Ikigai The Japanese Secrettoa Long and Happy Life ( Héctor García, Francesc Miralles) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Ikigai The Japanese Secrettoa Long and Happy Life เขียนโดย Héctor García, Francesc Miralles - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/IkigaiTheJapaneseSecrettoaLongandHappyLife - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/IkigaiTheJapaneseSecrettoaLongandHappyLife - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B01NAG34EH?tag=9natree-20 #IkigaiTheJapaneseSecrettoaLongandHappyLife #รีวิวIkigaiTheJapaneseSecrettoaLongandHappyLife #สรุปIkigaiTheJapaneseSecrettoaLongandHappyLife #หนังสือIkigaiTheJapaneseSecrettoaLongandHappyLife 1.อิคิไก คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไรต่อชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุข? ตามประเพณีของชาวญี่ปุ่น ทุกคนมี "อิคิไก" หรือเหตุผลในการดำรงอยู่ มันคือหนึ่งในความลับของชีวิตที่ยืนยาว ความพึงพอใจ และสุขภาพดี เช่นเดียวกับชาวเกาะโอกินาวา ผู้เขียนเดินทางไปโอกินาวาและสัมภาษณ์ชาวบ้านหลายร้อยคนเพื่อค้นหาความลับของชีวิตที่มีความสุขและสุขภาพดี และพบว่าการมีจุดมุ่งหมายในชีวิต และการไม่เกษียณแต่ยังคงมีเป้าหมายที่จะตื่นนอนในทุกเช้าเป็นปัจจัยสำคัญ นอกจากนี้ แนวคิดอิคิไกยังเกี่ยวข้องกับ logotherapy ซึ่งเป็นการบำบัดที่มุ่งเน้นการค้นหาความหมายของชีวิต 2.ปัจจัยสำคัญอะไรบ้างที่ส่งผลต่อการมีอายุยืนยาว โดยเฉพาะใน "Blue Zones" เช่น โอกินาวา? จากการศึกษาเปรียบเทียบชีวิตใน "Blue Zones" ทั้งห้าแห่ง นักวิทยาศาสตร์พบว่าปัจจัยหลักที่นำไปสู่การมีอายุยืนยาว ได้แก่ โภชนาการ , การออกกำลังกาย, การมีจุดมุ่งหมายในชีวิต , และเครือข่ายสังคมที่แข็งแกร่ง ชุมชนเหล่านี้จัดการเวลาได้ดีเพื่อลดความเครียด กินเนื้อสัตว์และอาหารแปรรูปน้อย และดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะ 3."Hara hachi bu" คืออะไรและนำไปปฏิบัติได้อย่างไร? "Hara hachi bu" เป็นสำนวนญี่ปุ่นที่หมายถึง "กินจนอิ่ม 80%" เป็นกฎ 80% ที่กล่าวถึงในบทแรก ซึ่งเป็นแนวคิดที่นำไปปฏิบัติได้ง่าย เมื่อคุณรู้สึกเกือบอิ่มแต่ยังสามารถกินเพิ่มได้อีกเล็กน้อย คุณควรหยุดกิน วิธีง่ายๆ ในการเริ่มต้นคือการเลิกของหวาน หรือลดปริมาณที่คุณมักจะกิน คุณควรจะยังรู้สึก "หิว" เล็กน้อยเมื่อกินเสร็จ นี่คือเหตุผลที่อาหารในญี่ปุ่นมีขนาดเล็กกว่าในตะวันตก การเสิร์ฟอาหารในชามเล็กๆ หลายชามช่วยให้ไม่กินมากเกินไป และส่งเสริมความหลากหลายในการบริโภคอาหาร แนวคิดนี้มีต้นกำเนิดมาหลายพันปี และพบในตำราเซ็นโบราณที่แนะนำให้นักเรียนกินเพียงสองในสามของสิ่งที่พวกเขาต้องการ 4.ความสัมพันธ์ทางสังคมมีบทบาทอย่างไรในสุขภาพและความสุข? เครือข่ายทางสังคมที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่ม "moai" ในโอกินาวา เป็นสิ่งสำคัญสำหรับอายุขัย Moai คือกลุ่มคนที่มีความสนใจร่วมกันซึ่งพร้อมที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันเสมอ การได้พบปะเพื่อนฝูงถือเป็น "อิคิไก" ที่สำคัญสำหรับหลายคนในโอกินาวา การพูดคุยและดื่มชาร่วมกับเพื่อนบ้านถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต การรักษาความสัมพันธ์กับคนที่คุณรักในทุกๆ วันคือความลับของการมีชีวิตที่ยืนยาว 5."Flow" คืออะไรและจะเข้าถึงสภาวะนี้ได้อย่างไร? "Flow" คือสภาวะที่บุคคลจดจ่อกับกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งจนลืมสิ่งรอบข้างไปทั้งหมด ประสบการณ์นี้สนุกจนผู้คนมักจะเต็มใจทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้ได้รับประสบการณ์นั้นอีกครั้ง ในสภาวะ Flow เราจะจดจ่อกับงานใดงานหนึ่งโดยไม่ถูกรบกวน ความคิดของเราเป็นระเบียบตรงข้ามกับการที่ใจของเราฟุ้งซ่านคิดถึงสิ่งอื่นเมื่อเราพยายามทำอะไรบางอย่าง เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าสู่สภาวะ Flow เราสามารถกำหนดเวลาและพื้นที่ของเราเองให้ปราศจากสิ่งรบกวน เช่น งดใช้หน้าจอในชั่วโมงแรกและชั่วโมงสุดท้ายของวัน ปิดโทรศัพท์ หรือใช้เทคนิค Pomodoro เพื่อทำงานเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่มีการพัก 6."Wabi-sabi" และ "ichi-go ichi-e" สอนเราเกี่ยวกับชีวิตอย่างไร? Wabi-sabi เป็นแนวคิดของญี่ปุ่นที่สอนให้เรามองเห็นความงามในความไม่จีรัง ความเปลี่ยนแปลง และความไม่สมบูรณ์ของทุกสิ่งรอบตัวเรา แทนที่จะมองหาความงามในความสมบูรณ์แบบ เราควรเห็นมันในความไม่สมบูรณ์และสิ่งที่ยังไม่เสร็จสิ้น มีเพียงสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ ไม่จีรัง และไม่สมบูรณ์เท่านั้นที่มีความงามที่แท้จริง เพราะมันคล้ายคลึงกับธรรมชาติ แนวคิดเสริมของญี่ปุ่นคือ ichi-go ichi-e ซึ่งแปลได้ว่า "ช่วงเวลานี้มีอยู่เพียงตอนนี้และจะไม่มีวันกลับมาอีก" มันถูกใช้โดยเฉพาะในการพบปะเพื่อเตือนผู้คนว่าการพบกันแต่ละครั้ง ไม่ว่ากับเพื่อน ครอบครัว หรือคนที่ไม่รู้จักนั้นมีเอกลักษณ์และจะไม่กลับมาอีก ดังนั้น เราจึงต้องสนุกกับช่วงเวลาที่ไม่เหมือนใครและไม่กังวลเกี่ยวกับอดีตหรืออ
2025-05-18
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] How to Love Better (Yung Pueblo) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ How to Love Better เขียนโดย Yung Pueblo - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/HowtoLoveBetter - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/HowtoLoveBetter - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0D7RQDJJG?tag=9natree-20 #HowtoLoveBetter #รีวิวHowtoLoveBetter #สรุปHowtoLoveBetter #หนังสือHowtoLoveBetter 1.ความรักคืออะไรตามแนวคิดนี้ และสามารถนำไปใช้ในความสัมพันธ์ได้อย่างไร? ความรักในบริบทนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความรักระหว่างคนรักเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเชื่อมโยงที่สำคัญทั้งหมดในชีวิตของเราด้วย มันถูกเปรียบเทียบกับ "น้ำ" ที่มีความยืดหยุ่นและทรงพลัง สามารถปรับตัว หล่อเลี้ยง และเข้มข้นขึ้นระหว่างสองคนที่ดึงดูดกัน ความรักคือพลังงานที่กระตุ้นให้เราลงมือทำ ช่วยให้จิตใจมองเห็นได้อย่างชัดเจนและไม่เห็นแก่ตัว เสริมสร้างความแข็งแกร่งและความกล้าหาญ ช่วยให้เราพูดสิ่งที่กลัวจะพูด และช่วยให้เราตัดสินใจเลือกสิ่งสำคัญในชีวิตได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะยากที่จะให้นิยามที่ตายตัว แต่ความรักก็เป็นความรู้สึกที่ชัดเจนและปลดปล่อย 2.การเติบโตส่วนบุคคลและการเยียวยาอดีตมีความสำคัญต่อความสัมพันธ์อย่างไร? แหล่งข้อมูลเน้นย้ำอย่างมากว่าการเติบโตส่วนบุคคลและการเยียวยาบาดแผลจากอดีตเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักผู้อื่นได้ดีขึ้น ไม่มีใครเข้าสู่ความสัมพันธ์อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเยียวยา สติปัญญา หรือความสามารถในการรัก ความรักที่แท้จริงต้องการการเรียนรู้ การปรับตัว การปล่อยวาง และการเข้าถึงระดับความสงบและความเข้าใจใหม่ๆ การมีความคิดที่ยอมรับการเติบโตของตัวเองช่วยให้เราเยียวยาและปลดปล่อยรูปแบบเชิงลบที่ขับเคลื่อนด้วยประสบการณ์ที่ยากลำบากในอดีต การเยียวยาตนเองและคู่ครองอย่างจริงจังหมายถึงการตระหนักถึงบาดแผลในอดีตและรูปแบบที่เป็นอันตรายที่เราสะสมมา ซึ่งมักเกิดจากการพยายามเอาตัวรอด สิ่งนี้จะช่วยให้เราไม่คาดหวังให้ความสุขมาจากคู่ครองเพียงอย่างเดียว แต่สร้างความสุขจากภายในและให้คู่ครองสนับสนุนและเติมเต็มความสุขนั้น ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดที่สุดในชีวิตเป็นกระจกสะท้อนความสัมพันธ์ของเรากับอารมณ์ของตนเอง เมื่อเราสามารถอยู่กับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในตัวเราชั่วคราวได้ ก็จะเสริมสร้างความสามารถของเราในการให้ความรักและความเอาใจใส่ต่อคนที่เรารักเมื่อพวกเขากำลังประสบกับความยากลำบาก 3.การตระหนักรู้ในตนเอง คืออะไร และพัฒนาขึ้นได้อย่างไร? การตระหนักรู้ในตนเองคือการพัฒนาความสามารถในการสังเกตอย่างเป็นกลาง เพื่อทำความเข้าใจว่าเราเป็นใครและผ่านอะไรมา ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความรู้สึกเสียใจ แต่เพื่อสนับสนุนการพัฒนาการสังเกตอย่างเป็นกลางเพื่อให้เราเข้าใจตนเอง การตระหนักรู้ในตนเองช่วยให้เราสำรวจตัวเองได้อย่างซื่อสัตย์ เพื่อก้าวไปข้างหน้าพร้อมข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นในการปรับปรุงการกระทำ ช่วยให้เราเห็นว่าความสมบูรณ์แบบเป็นไปไม่ได้ แต่ความก้าวหน้าเป็นไปได้ ช่วยให้เรามีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองและให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้อื่น เมื่อเรายอมรับความขึ้นๆ ลงๆ ของชีวิตตนเอง ความอดทนและความเมตตาจะเริ่มผลิบานให้กับตนเองและผู้อื่น การตระหนักรู้ในตนเองช่วยให้เราเจาะทะลุเงื่อนไขทางจิตใจที่เราไม่เคยร้องขอ แต่สะสมมาตลอดชีวิต ผ่านการตระหนักรู้ในตนเอง เราจะค้นพบความชอบและความปรารถนาที่แท้จริงของเรา ไม่ใช่สิ่งที่สังคมต้องการให้เราไขว่คว้า แต่สิ่งที่เรารู้สึกว่ามีคุณค่าที่จะใช้พลังงานไปกับมัน การตระหนักรู้ในตนเองสามารถพัฒนาขึ้นได้ผ่านการเขียนบันทึก การทำสมาธิ หรือเพียงแค่ไม่หนีจากอารมณ์เมื่อรู้สึกวุ่นวาย 4.ความสำคัญของการดูแลตนเองและการกล้าปฏิเสธ ในการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีและสุขภาวะภายในคืออะไร? การดูแลตนเองถือเป็นของขวัญที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่เรามอบให้กับตนเองและคู่ครองในอนาคต หากเราต้องการช่วยเหลือผู้อื่นและทำความดี เราก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแน่ใจว่าเรากำลังดูแลตนเองอย่างดี ความเมตตาต่อผู้อื่นบางครั้งอาจรุนแรงจนลืมถามตัวเองว่าต้องการอะไรและหาเวลาเพื่อฟื้นฟูตนเอง การลืมตนเองอาจทำให้เราอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สมดุลและอาจเป็นอันตราย ซึ่งจะผลักดันให้เราเข้าสู่ภาวะอ่อนเพลียอย่างรุนแรง การดูแลผู้อื่นเป็นสิ่งสวยงามและสูงส่ง แต่การทำในสิ่งที่จำเป็นเพื่อตนเองให้เจริญเติบโตก็เช่นกัน การกล้าปฏิเสธต้องใช้ความแข็งแกร่งอย่างมาก และความแข็งแกร่งส่วนใหญ่นั้นมาจากการยึดมั่นในการไม่เป็นคนเอาใจคนอื่น การเอาใจคนอื่นเป็นพฤติกรรมรูปแบบหนึ่งที่ทำให้เราหลงทาง เมื่อเราให้ความสำคัญกับการเอาใจผู้อื่นมากเกินไป เราจะลืมตอบสนองความต้องการของตนเองและขาดควา
2025-05-17
08 min
9Natree Thailand
[รีวิว] The Mountain Is You (Brianna Wiest) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ The Mountain Is You เขียนโดย Brianna Wiest - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TheMountainIsYou - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TheMountainIsYou - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B089DQRDSV?tag=9natree-20 #TheMountainIsYou #รีวิวTheMountainIsYou #สรุปTheMountainIsYou #หนังสือTheMountainIsYou 1.ภูเขาในชีวิตของเรามีความหมายอย่างไร? ในแหล่งข้อมูล เปรียบเทียบ "ภูเขา" กับความท้าทาย ปัญหา หรืออุปสรรคที่เราต้องเผชิญในชีวิต เช่นเดียวกับธรรมชาติ ภูเขาก็เป็นสัญลักษณ์ของภูมิปัญญาที่ซ่อนเร้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเติบโตและก้าวไปสู่ศักยภาพสูงสุดของเรา การมีภูเขาขวางหน้าไม่ได้หมายความว่าเราบกพร่องโดยพื้นฐาน แต่เป็นสัญญาณว่าเราเป็นมนุษย์และยังมีศักยภาพอีกมากมายให้ปลดปล่อย ความไม่สมบูรณ์ในธรรมชาติและในตัวเราเองคือสิ่งที่ทำให้เกิดการเติบโตได้ เมื่อเรามาถึง "ตีนเขา" หรือจุดแตกหัก นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และโอกาสในการก้าวผ่านสิ่งที่เป็นอยู่ 2.อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของการบ่อนทำลายตัวเอง? การบ่อนทำลายตัวเองไม่ใช่การกระทำที่เกิดจากการเกลียดตัวเองหรือขาดความมั่นใจอย่างที่เห็นภายนอก แต่แท้จริงแล้วมันเป็นกลไกในการรับมือที่ตอบสนองความต้องการที่ไร้สำนึก ซึ่งเรามักไม่เชื่อว่าเรามีความสามารถที่จะจัดการได้ เราบ่อนทำลายตัวเองเมื่อเราปฏิเสธที่จะตอบสนองความต้องการภายในที่แท้จริง อาจเป็นเพราะเรากลัวที่จะอยู่คนเดียวจึงบ่อนทำลายความสัมพันธ์ หรือเราต้องการสร้างสรรค์ศิลปะจึงบ่อนทำลายความสำเร็จในอาชีพ การบ่อนทำลายตัวเองมักเกิดจากการที่เราเชื่อมโยงเป้าหมายที่เราอยากบรรลุกับบุคลิกของคนที่ประสบความสำเร็จในสิ่งนั้นในทางลบ เช่น การมองว่าคนรวยเป็นคนไม่ดี ซึ่งทำให้เราต่อต้านการมีเงิน การเอาชนะการบ่อนทำลายตัวเองไม่ใช่การพยายามเอาชนะแรงกระตุ้น แต่เป็นการทำความเข้าใจว่าแรงกระตุ้นเหล่านั้นมีอยู่เพื่ออะไร 3.เราจะระบุและเอาชนะการบ่อนทำลายตัวเองได้อย่างไร? ขั้นตอนแรกคือการเลิกปฏิเสธและมีความชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่ผิดปกติจริงๆ โดยการเขียนรายการทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับปัญหา เช่น หนี้สิน ค่าใช้จ่าย ความไม่พอใจในตัวเอง หรือความกังวล เมื่อระบุปัญหาได้แล้ว เรามีทางเลือกคือยอมรับหรือตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลง การจมปลักอยู่กับปัญหาคือสิ่งที่ทำให้เราติดอยู่ การเอาชนะการบ่อนทำลายตัวเองคือการเข้าใจว่าพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคกำลังตอบสนองความต้องการบางอย่างในตัวเรา แทนที่จะต่อสู้กับอาการเหล่านั้น เราควรทำความเข้าใจความต้องการที่แท้จริงและหาวิธีที่ดีกว่าในการตอบสนองความต้องการเหล่านั้น การถามตัวเองว่า "ฉันต้องการอะไรจริงๆ?" จะช่วยให้เราหยุดต่อสู้กับอาการและเริ่มจัดการกับปัญหาที่แท้จริง ซึ่งคือการใช้ชีวิตที่ไม่อยู่ในแนวเดียวกับความต้องการหลักและเป้าหมายหลักของเรา 4.ความไม่สมบูรณ์มีบทบาทอย่างไรต่อการเติบโต? ความไม่สมบูรณ์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเติบโต ดังที่แหล่งข้อมูลกล่าวว่า "ทุกสิ่งในธรรมชาติไม่สมบูรณ์ และเป็นเพราะความไม่สมบูรณ์นั้นที่ทำให้การเติบโตเป็นไปได้" หากทุกสิ่งสมบูรณ์แบบและสม่ำเสมอ แรงโน้มถ่วงที่สร้างดวงดาวและดาวเคราะห์ต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น การมีข้อบกพร่อง รอยแตก และช่องว่าง คือสิ่งที่ทำให้สิ่งต่างๆ สามารถเติบโตและเป็นรูปเป็นร่างได้ การที่เราไม่สมบูรณ์ไม่ใช่สัญญาณว่าเราล้มเหลว แต่เป็นสัญญาณว่าเราเป็นมนุษย์ และที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นสัญญาณว่าเรายังมีศักยภาพภายในอีกมากมาย 5."จุดแตกหัก" นำไปสู่ "จุดก้าวผ่าน" ได้อย่างไร? เมื่อเรามาถึง "จุดแตกหัก" ซึ่งเปรียบเสมือนตีนเขา หรือจุดที่ชีวิตถึงทางตัน นั่นคือจุดวิกฤตของการล่มสลาย หากเราเต็มใจที่จะลงมือทำ เราจะพบว่านี่คือประตูสู่ "จุดก้าวผ่าน" ที่เราเฝ้ารอมาทั้งชีวิต ตัวตนเก่าของเราไม่สามารถรองรับชีวิตที่เราพยายามใช้ชีวิตได้อีกต่อไป ถึงเวลาสำหรับการสร้างสรรค์และเกิดใหม่ เราต้องปล่อยวางตัวตนเก่าของเราไปในเปลวเพลิงแห่งวิสัยทัศน์ และเต็มใจที่จะคิดในแบบที่เราไม่เคยลองมาก่อน เราต้องไว้อาลัยกับการสูญเสียตัวตนที่อ่อนเยาว์ ซึ่งเป็นคนที่นำเรามาถึงจุดนี้ แต่ไม่สามารถพาเราไปต่อได้ งานที่อยู่ตรงหน้าเรานั้นเงียบง่ายแต่สำคัญมาก คือการเรียนรู้ความคล่องแคล่ว ความยืดหยุ่น และความเข้าใจในตัวเอง เราต้องเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีทางที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก 6.เราจะแยกความแตกต่างระหว่างสัญชาตญาณกับความกลัวได้อย่างไร? แหล่งข้อมูลอธิบายว่าสัญชาตญาณเป็นสิ่งละเอียดอ่อนและเกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ สัญชาตญาณ
2025-05-17
07 min
9Natree Thailand
[รีวิว] The 5 Types of Wealth (Sahil Bloom) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ The 5 Types of Wealth เขียนโดย Sahil Bloom - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/The5TypesofWealth - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/The5TypesofWealth - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0D38TNQ68?tag=9natree-20 #The5TypesofWealth #รีวิวThe5TypesofWealth #สรุปThe5TypesofWealth #หนังสือThe5TypesofWealth 1. อะไรคือ “ความมั่งคั่งทั้ง 5 ประเภท” และเหตุใดจึงสำคัญที่จะต้องพิจารณาทั้งหมด? แหล่งข้อมูลเน้นแนวคิดเรื่องความมั่งคั่งในรูปแบบที่กว้างกว่าความมั่งคั่งทางการเงิน โดยแนะนำให้มี "ความมั่งคั่ง 5 ประเภท" ได้แก่ ความมั่งคั่งด้านเวลา ความมั่งคั่งทางสังคม ความมั่งคั่งทางจิตใจ ความมั่งคั่งทางกาย และความมั่งคั่งทางการเงิน การวัดชีวิตตามเสาหลักทั้งหมดของชีวิตที่มีความสุขและเติมเต็มเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการมุ่งเน้นเพียงประเภทเดียว เช่น ความมั่งคั่งทางการเงิน อาจนำไปสู่ชัยชนะแบบ Pyrrhic ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของกษัตริย์ Pyrrhus แห่ง Epirus แหล่งข้อมูลกล่าวว่าการวัดผลเพื่อ "สงคราม" โดยรวมแทนที่จะเป็นเพียง "การรบ" แต่ละครั้งช่วยให้คุณไม่พลาดเป้าหมายท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย การตัดสินใจที่พิจารณาความมั่งคั่งทั้งห้าประเภทจะช่วยให้แน่ใจว่าการตัดสินใจเกี่ยวกับอาชีพ การย้ายที่อยู่ หรือการลงทุนจะส่งผลดีต่อภาพรวมของชีวิต2. "พอแล้ว" หมายถึงอะไร และเหตุใดการกำหนด "พอแล้ว" ทางการเงินของคุณเองจึงมีความสำคัญ? "พอแล้ว" หมายถึงการมีความรู้ว่าคุณมีสิ่งที่คุณต้องการและพอใจกับมัน แทนที่จะไล่ตาม "มากกว่า" อย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งแหล่งข้อมูลนี้เปรียบเทียบกับแนวคิดภาษาสวีเดนที่เรียกว่า "Lagom" ที่แปลว่า "ปริมาณที่พอเหมาะพอดี" การกำหนด "พอแล้ว" ทางการเงินของคุณเองมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะการค้นหา "มากกว่า" มักเป็นเป้าหมายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่การปรับความคาดหวังอย่างไม่รู้ตัว แหล่งข้อมูลอ้างถึงเรื่องราวของ Joseph Heller ที่บอก Kurt Vonnegut ว่าเขามีสิ่งที่มหาเศรษฐีไม่มี คือ "ความรู้ว่าฉันมีพอแล้ว" การกำหนดสิ่งที่คุณต้องการทางการเงินอย่างชัดเจนช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงกับดักของการเชื่อว่าความพึงพอใจ ความสมหวัง และความสุขขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงินต่อไป ซึ่งเป็นเกมที่คุณจะแพ้ในที่สุด3. อะไรคือ "Life Razor" และลักษณะสำคัญสามประการของ Life Razor ที่ทรงพลังคืออะไร? Life Razor คือคำกล่าวเดียวที่กำหนดการปรากฏตัวของคุณในฤดูกาลปัจจุบันของชีวิต มันทำหน้าที่เป็นกฎที่กำหนดการแสดงตัวตนในอุดมคติของคุณในโลก แหล่งข้อมูลยกตัวอย่างเช่น Life Razor ของ Marc Randolph คือ "ฉันจะไม่พลาดมื้อค่ำวันอังคาร" ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ชัดเจน ควบคุมได้ และเป็นเครื่องเตือนใจถึงประเภทของบุคคลที่เขาเป็น เมื่อมีสถานการณ์หรือโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้น เขาสามารถถามตัวเองว่า "บุคคลประเภทที่ไม่เคยพลาดมื้อค่ำวันอังคารจะทำอย่างไรในสถานการณ์นี้? เขาจะจัดการอย่างไร?" ลักษณะสำคัญสามประการของ Life Razor ที่ทรงพลังคือ:1. ควบคุมได้ : ต้องอยู่ในการควบคุมโดยตรงของคุณ2. สร้างผลกระทบเป็นระลอกคลื่น : ควรมีผลกระทบทางบวกในพื้นที่อื่นๆ ของชีวิต3. กำหนดตัวตน : ควรบ่งบอกถึงประเภทของบุคคลที่คุณเป็น วิธีที่ตัวตนในอุดมคติของคุณปรากฏตัวในโลก4. ระบบการตั้งเป้าหมายที่เสนอในแหล่งข้อมูลนี้ประกอบด้วยอะไรบ้าง และทำงานร่วมกับ Life Razor อย่างไร? ระบบการตั้งเป้าหมายที่นำเสนอในแหล่งข้อมูลนี้ประกอบด้วยสององค์ประกอบที่เชื่อมโยงกัน: เป้าหมาย และเป้าหมายที่ต้องหลีกเลี่ยง เป้าหมายคือสิ่งที่คุณต้องการให้เกิดขึ้นในการเดินทางของคุณ รวมถึงความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่ในระยะยาวและวัตถุประสงค์ "จุดตรวจสอบ" ระยะกลาง เป้าหมายที่ต้องหลีกเลี่ยงคือสิ่งที่คุณไม่ต้องการเสียสละขณะปีนเขา เช่น การปล่อยให้สุขภาพทรุดโทรมหรือลดมาตรฐานทางศีลธรรม แหล่งข้อมูลแนะนำให้พิจารณาเป้าหมายที่ต้องหลีกเลี่ยงโดยการพลิกกลับปัญหา: อะไรคือผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นจากการไล่ตามเป้าหมายของคุณ? ระบบการตั้งเป้าหมายนี้ทำงานร่วมกับ Life Razor โดยที่ Life Razor สร้างอัตลักษณ์ของคุณ ในขณะที่ระบบเข็มทิศ กำหนดทิศทางของคุณ วิสัยทัศน์สำหรับอนาคต เมื่อมีความท้าทายหรือโอกาสเกิดขึ้น คุณจะหันไปหา Life Razor แต่เข็มทิศจะกำหนดทิศทางของคุณในขณะที่คุณสร้างชีวิตในฝัน5. อะไรคือ "high-leverage systems" และเหตุใดจึงมีความสำคัญในการบรรลุเป้าหมาย? High-leverage systems คือการกระทำในชีวิตประจำวันที่สร้างความก้าวหน้าแบบทวีคูณและไม่สมมาตร แหล่งข้อมูลอ้างถึง James Clear ผู้เข
2025-05-17
07 min
9Natree Thailand
[รีวิว] My Next Breath A Memoir (Jeremy Renner) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ My Next Breath A Memoir เขียนโดย Jeremy Renner - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/MyNextBreathAMemoir - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/MyNextBreathAMemoir - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0DTJCWMDZ?tag=9natree-20 #MyNextBreathAMemoir #รีวิวMyNextBreathAMemoir #สรุปMyNextBreathAMemoir #หนังสือMyNextBreathAMemoir 1.เหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนชีวิตของ Jeremy Renner คืออะไร? เหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนชีวิต Jeremy Renner ที่กล่าวถึงในข้อความคืออุบัติเหตุร้ายแรงที่เขาถูก Snowcat ทับเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2023 ซึ่งเหตุการณ์นี้ส่งผลให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสทั่วร่างกาย ทั้งกระดูกหัก 38 ชิ้น ปอดทะลุ ตับฉีกขาด และบาดเจ็บอื่นๆ อีกมากมาย เหตุการณ์นี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดและเริ่มต้นเส้นทางการฟื้นฟูที่ยาวนานและยากลำบาก 2.บทบาทของครอบครัวมีความสำคัญอย่างไรต่อ Jeremy Renner? ครอบครัวมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อ Jeremy Renner เป็นเสมือน "ที่นอนแห่งความรัก" ที่คอยรองรับเขาเสมอ ไม่ว่าเขาจะทำผิดพลาดหรือเผชิญความยากลำบากใดๆ เขากล่าวว่าความรักและการสนับสนุนจากพ่อแม่ ลูกสาว น้องชาย น้องสาว และหลานๆ เป็นพลังสำคัญที่ช่วยให้เขากล้าเผชิญหน้ากับความกลัวและต่อสู้เพื่อฟื้นฟูร่างกายหลังอุบัติเหตุ ครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาและเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขาต้องการมีชีวิตรอด 3.Jeremy Renner จัดการกับความกลัวและอาการบาดเจ็บทางร่างกายได้อย่างไร? Jeremy Renner จัดการกับความกลัวและอาการบาดเจ็บทางร่างกายด้วยการใช้สิ่งที่เขาเรียกว่า "ความตระหนักรู้ในร่างกาย" และ "การหายใจอย่างมีสติ" ซึ่งเป็นทักษะที่เขาพัฒนาขึ้นจากการทำงานเป็นนักแสดงและนักกีฬามาหลายปี เขามองว่าความเจ็บปวดเป็นเพียงภาษาของเส้นประสาทที่ตีความได้ใหม่ แทนที่จะยอมจำนนต่อความเจ็บปวด เขากลับ "พูด" กับร่างกายและขาที่บาดเจ็บของเขา พยายามเปลี่ยนมุมมองจากความเจ็บปวดไปสู่การฟื้นฟูและการเคลื่อนไหว นอกจากนี้ เขายังเผชิญหน้ากับความกลัวโดยตรง ไม่ยอมให้ความกลัวเข้าครอบงำ และกำหนดเป้าหมายเล็กๆ น้อยๆ ในกระบวนการฟื้นฟูเพื่อเป็นแรงผลักดัน 4.ประสบการณ์ “ความตาย” ของ Jeremy Renner เป็นอย่างไร? Jeremy Renner มีประสบการณ์ที่เขาอธิบายว่าเป็นการ "ความตาย" ในขณะที่นอนบาดเจ็บอยู่บนพื้นน้ำแข็งประมาณสามสิบนาทีหลังอุบัติเหตุ เขาอธิบายว่ามันเป็นช่วงเวลาแห่งความสงบสุขอย่างยิ่งยวด มีความตื่นเต้นผสมผสานกับความเงียบสงบ รู้สึกเหมือนหลุดพ้นจากข้อจำกัดของร่างกายและเวลา มองเห็นชีวิตของตัวเองทั้งหมดในคราวเดียว ประสบการณ์นี้ทำให้เขามั่นใจในสิ่งที่เขารู้สึกอยู่เสมอว่าการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตนั้นเหนือกว่าร่างกายและจักรวาล และเป็นสิ่งที่ตอกย้ำความสำคัญของการเผชิญหน้ากับความกลัวเพื่อกลับมามีชีวิตอีกครั้ง 5.ทัศนคติของ Jeremy Renner ต่อชื่อเสียงและการเป็นบุคคลสาธารณะเป็นอย่างไร? ก่อนเกิดอุบัติเหตุ Jeremy Renner มองว่าชื่อเสียงและการเป็นบุคคลสาธารณะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาใช้ชีวิตลำบากขึ้น เขารู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวหายไปและบางครั้งผู้คนก็รู้สึกว่าพวกเขามีสิทธิ์ในตัวเขา แต่หลังจากอุบัติเหตุ ทัศนคติของเขาเปลี่ยนไป เขารู้สึกขอบคุณสำหรับโอกาสที่อาชีพการงานมอบให้ และเห็นคุณค่าของการเป็นบุคคลสาธารณะว่าสามารถนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์ที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการช่วยเหลือเด็กๆ และมีผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนของเขา 6.แนวคิดเรื่อง "ความชัดเจนของความตั้งใจ" มีความหมายต่อ Jeremy Renner อย่างไร? "ความชัดเจนของความตั้งใจ" เป็นแนวคิดที่ฝังลึกในตัว Jeremy Renner มานาน เช่นเดียวกับวลี "อย่าลืมหายใจ" หลังเกิดอุบัติเหตุ แนวคิดนี้ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์นี้ได้ขจัด "สัญญาณรบกวน" ในชีวิตของเขาออกไป ทำให้เขามองเห็นสิ่งที่สำคัญจริงๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เขามุ่งมั่นที่จะทำทุกสิ่งด้วยความตั้งใจและมีจุดประสงค์ ให้ความสำคัญกับสุขภาพกายและครอบครัวเป็นอันดับแรก โดยเชื่อว่าเมื่อสุขภาพร่างกายดีขึ้น สุขภาพทางอารมณ์และจิตวิญญาณก็จะดีขึ้นตามไปด้วย 7.บทบาทของพ่อของ Jeremy Renner มีอิทธิพลต่อเขาอย่างไร? พ่อของ Jeremy Renner เป็นผู้มีอิทธิพลสำคัญต่อเขาในหลายด้าน เขาเป็นผู้ที่ส่งเสริมให้ Jeremy "ลองผิดลองถูก" และ "ล้มเหลว" ในช่วงเรียนวิทยาลัย ซึ่งนำไปสู่การค้นพบความหลงใหลในการแสดงของเขา พ่อยังสอนเขาให้เป็นคนช่างวิเคราะห์ และเป็นผู้ที่สอนบทเรียนชีวิตด้วยความรัก เช่น การเตือนเรื่องการสูบบุหรี่ พ่อของเขาเปรียบเสมือน "ห
2025-05-16
07 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Matriarch (Tina Knowles) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Matriarch เขียนโดย Tina Knowles - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/Matriarch - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/Matriarch - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0DBTC4DYH?tag=9natree-20 #Matriarch #รีวิวMatriarch #สรุปMatriarch #หนังสือMatriarch 1. บทบาทของ Matriarch ในชีวิตของ Tina Knowles มีความสำคัญอย่างไร? จากเนื้อหา Matriarch หรือมาตุภูมิ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในชีวิตของ Tina Knowles ทั้งในฐานะผู้ได้รับมรดกทางวัฒนธรรมและความรัก และในฐานะผู้ถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้น เธอพูดถึงสายเลือดของผู้หญิงในครอบครัวของเธอที่สืบทอดกันมา และขยายแนวคิดนี้ออกไปว่า การเป็นมาตุภูมิไม่ใช่แค่เรื่องสายเลือดเท่านั้น แต่เป็น "การปฏิบัติอันศักดิ์สิทธิ์ของการหล่อเลี้ยง การชี้แนะ การปกป้อง การมองการณ์ไกล และการจดจำ" เธอเห็นแม่ของเธอหล่อเลี้ยงเด็กที่ไม่ใช่ลูกโดยกำเนิด และเธอก็ทำเช่นเดียวกันกับลูกสาวของเธออย่าง Kelly และ Angie ผู้ซึ่งเธอรักเหมือนลูกแท้ๆ แนวคิดนี้แสดงให้เห็นถึงพลังอันแข็งแกร่งของผู้หญิงในการดูแลครอบครัวและชุมชน และเป็นรากฐานสำคัญของตัวตนของเธอ2. วัยเด็กของ Tina Knowles ใน Galveston ได้หล่อหลอมตัวตนของเธออย่างไร? วัยเด็กของ Tina Knowles ใน Galveston ที่อยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแม่ แสดงให้เห็นถึงความรักและความเอาใจใส่ในครอบครัว แม้จะไม่ได้ร่ำรวย แต่พวกเขาก็มีความรู้สึก "rich in smiles" และ "living like millionaires" จากสิ่งที่มี สิ่งอำนวยความสะดวกในบ้านที่ได้มาจาก S&H Green Stamps กลายเป็นศูนย์รวมของเด็กๆ ในละแวกบ้าน และแม่ของเธอก็เป็นที่รู้จักในฐานะ "Tenie Mama" ที่คอยดูแลเด็กทุกคน ความผูกพันกับพี่น้อง ลูกพี่ลูกน้อง และเพื่อนที่ดีที่สุดอย่าง Johnny ภายใต้ต้น Pecan ในสวนหลังบ้าน เป็นพื้นฐานของความรู้สึกถึงชุมชนและความรัก เธอยังได้สัมผัสกับความเป็นจริงของการแบ่งแยกสีผิว แม้ว่าในวัยเด็กเธออาจจะยังไม่เข้าใจถึงข้อจำกัดทั้งหมด แต่ประสบการณ์เหล่านี้ได้หล่อหลอมให้เธอมีความแข็งแกร่งและความสามารถในการปรับตัว3. ความสัมพันธ์ระหว่าง Tina Knowles และ Johnny มีลักษณะอย่างไร และมีความสำคัญอย่างไร? ความสัมพันธ์ระหว่าง Tina Knowles และ Johnny เป็นมิตรภาพที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอตั้งแต่เด็ก Johnny ซึ่งเธอเรียกว่า "Lucy" ตาม Lucille Ball เพราะเธอชอบหาเรื่องใส่ตัว เป็นทั้งผู้ฟัง ผู้ปกป้อง และเพื่อนสนิท พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ด้วยกัน เล่นเกม ร้องเพลง และ Johnny เป็นคนเดียวที่เห็นและเข้าใจความปรารถนาของเธอที่จะมีลูก เขาได้รับการยอมรับและรักในครอบครัวในแบบที่เขาเป็น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในยุคสมัยนั้น มิตรภาพของพวกเขายังคงแข็งแกร่งแม้เมื่อพวกเขาโตขึ้น และ Johnny มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนความฝันของเธอและลูกสาว การที่เขาได้รับการยอมรับจากครอบครัวในฐานะที่เป็นตัวเอง เป็นเครื่องยืนยันถึงความรักและการยอมรับที่เข้มแข็งในครอบครัวของเธอ4. ประสบการณ์ที่ Tina Knowles เผชิญกับการแบ่งแยกสีผิวและตำรวจส่งผลกระทบต่อเธออย่างไร? Tina Knowles เผชิญกับประสบการณ์การแบ่งแยกสีผิวตั้งแต่เด็ก เช่น การไม่สามารถทานอาหารในร้านอาหารเดียวกันกับคนผิวขาว และถูกจำกัดให้ใช้ช่องรับอาหารด้านหลัง แม้ในวัยเด็กเธอจะยังไม่เข้าใจอย่างเต็มที่ แต่ประสบการณ์เหล่านี้ได้สอนบทเรียนเกี่ยวกับข้อจำกัดที่สังคมกำหนดขึ้น เมื่อโตขึ้น เธอและครอบครัวต้องเผชิญกับการคุกคามจากตำรวจหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากพี่ชายของเธอ Skip ถูกตำรวจทำร้าย การที่เธอถูกตำรวจจับกุมเพียงเพราะอยู่ในที่สาธารณะและถูกกล่าวหาว่าเป็นโสเภณี ทั้งที่เพิ่งออกจากโรงภาพยนตร์ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเลือกปฏิบัติและความอยุติธรรมที่คนผิวดำต้องเผชิญ ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เธอเห็นความจริงอันโหดร้าย และหล่อหลอมให้เธอมีความแข็งแกร่งและกล้าที่จะยืนหยัดเพื่อตัวเองและครอบครัว5. Tina Knowles ได้รับการสนับสนุนและความช่วยเหลือจากผู้หญิงคนอื่นๆ ในชีวิตของเธออย่างไร? Tina Knowles ได้รับการสนับสนุนและความช่วยเหลืออย่างมากจากผู้หญิงคนอื่นๆ ในชีวิตของเธอ นอกเหนือจากแม่และพี่สาวของเธอแล้ว เธอยังมีกลุ่มเพื่อนสนิท ที่เป็นทั้งเพื่อนและลูกสาวของเธอ ซึ่งเป็นแหล่งพลังใจและการสนับสนุนที่สำคัญ นอกจากนี้ เธอยังกล่าวถึง Vernell เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียน ที่คอยอยู่เคียงข้างและปกป้องเธอ เธอยังได้รับการสนับสนุนจากผู้หญิงคนอื่นๆ เช่น Lydia ผู้เป็นที่ปรึกษา ที่พาเธอไปดู Alvin Ailey ซึ่งเปลี่ยนทิศทางชีวิตของเธอ และกลุ่มเพื่อนสนิท ที่คอยหัวเราะ ร้องไห้ ให้กำลังใจ และทำให้เธอยังคงติดดิน ความสัมพันธ์ที่แน่นแ
2025-05-16
06 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Don't Believe Everything You Think (Joseph Nguyen) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Don't Believe Everything You Think เขียนโดย Joseph Nguyen - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/DontBelieveEverythingYouThink - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/DontBelieveEverythingYouThink - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B09WQ218GR?tag=9natree-20 #DontBelieveEverythingYouThink #รีวิวDontBelieveEverythingYouThink #สรุปDontBelieveEverythingYouThink #หนังสือDontBelieveEverythingYouThink 1. อะไรคือสาเหตุรากเหง้าของความทุกข์ทางจิตใจและอารมณ์? จากแหล่งข้อมูล สาเหตุรากเหง้าของความทุกข์ทางจิตใจและอารมณ์ทั้งหมดคือ "ความคิด" ไม่ใช่ "ความคิดต่างๆ" แต่เป็นกระบวนการของการ "คิด" เกี่ยวกับความคิดเหล่านั้น ผู้เขียนอธิบายว่าความคิดต่างๆ เป็นเพียงวัตถุดิบทางจิตที่เป็นกลาง ซึ่งมาจากแหล่งที่ใหญ่กว่า และเกิดขึ้นโดยไม่มีความพยายามใดๆ ความทุกข์เกิดขึ้นเมื่อเราเริ่ม "คิดเกี่ยวกับ" ความคิดเหล่านั้น นั่นคือเมื่อเราตัดสิน, วิพากษ์วิจารณ์, หรือเชื่อในเรื่องราวและข้อจำกัดที่เกิดจากความคิดของตนเอง ซึ่งเป็นการสร้างความวุ่นวายทางอารมณ์ภายใน เช่น ความสงสัยในตนเอง, ความกังวล, ความโกรธ หรือความกลัว ดังนั้น ความทุกข์จึงไม่ใช่ผลมาจากเหตุการณ์ภายนอก แต่เป็นผลมาจากวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านั้น2. อะไรคือความแตกต่างระหว่าง "ความคิด" และ "การคิด" ? แหล่งข้อมูลเน้นย้ำถึงความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง "ความคิด" และ "การคิด" "ความคิด" เป็นนาม เป็นวัตถุดิบทางจิตที่เป็นพลังงาน ซึ่งเราใช้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ในโลก ความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ต้องใช้ความพยายาม และมาจากแหล่งที่เหนือกว่าจิตใจของเรา มันเป็นกลางและไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานในตัวเอง ในทางกลับกัน "การคิด" เป็นกริยา เป็นกระบวนการที่เรามีส่วนร่วมด้วยความพยายาม ซึ่งก็คือการที่เรา "คิดเกี่ยวกับ" ความคิดต่างๆ ที่ผุดขึ้นมา การคิดนี้มาจากอัตตาของเราและนำมาซึ่งการตัดสิน, การวิพากษ์วิจารณ์, ความเชื่อที่จำกัด และการเขียนโปรแกรมที่เราได้รับมา ซึ่งจะทำลายหรือบิดเบือนความคิดดั้งเดิม การคิดนี้เองที่เป็นแหล่งของความทุกข์และความรู้สึกเชิงลบ3. ถ้าการคิดคือต้นเหตุของความทุกข์ เราจะหยุดคิดได้อย่างไร? แหล่งข้อมูลระบุว่าไม่สามารถหยุดคิดได้อย่างสมบูรณ์ แต่เป้าหมายคือการลดเวลาที่เราใช้ไปกับการ "คิดเกี่ยวกับ" ความคิดต่างๆ เพื่อให้เวลาที่เราใช้ไปกับการคิดน้อยลงเรื่อยๆ ผู้เขียนเปรียบเทียบกับการทำให้น้ำที่ขุ่นและสกปรกใสขึ้น ซึ่งทำได้โดยการปล่อยให้มันตกตะกอนเองตามธรรมชาติ แทนที่จะพยายามกรองหรือต้ม ในทำนองเดียวกัน การจัดการกับการคิดเชิงลบคือการตระหนักว่ามันเป็นเพียง "การคิด" และปล่อยให้มันผ่านไป โดยไม่ยึดติดหรือเชื่อในเรื่องราวที่มันสร้างขึ้น การตระหนักรู้ว่าความรู้สึกเชิงลบมาจากความคิดของเราเอง จะช่วยให้ความคิดสงบลงได้เหมือนตะกอนที่ตกสู่ก้นบ่อ4. ความเข้าใจในหลักการสามประการช่วยบรรเทาความทุกข์ได้อย่างไร? แหล่งข้อมูลแนะนำหลักการสามประการที่ค้นพบโดย Sydney Banks ได้แก่ ปัญญาสากล , จิตสำนึก , และความคิด หลักการเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างประสบการณ์ของมนุษย์ ปัญญาสากลคือพลังงานและปัญญาที่อยู่เบื้องหลังสิ่งมีชีวิตทั้งหมดและเป็นแหล่งกำเนิดของความคิด จิตสำนึกคือความสามารถในการรับรู้ประสบการณ์ของเรา และความคิดคือวัตถุดิบที่เราใช้สร้างความเป็นจริงของเรา การทำความเข้าใจหลักการเหล่านี้ช่วยให้เราเห็นว่าประสบการณ์ของเราไม่ได้เกิดจากโลกภายนอก แต่เกิดจากการตีความของเราผ่านความคิด เมื่อเราตระหนักว่าความทุกข์มาจากความคิดของเราเอง เราสามารถเลือกที่จะปล่อยความคิดนั้นไปและกลับคืนสู่สภาวะธรรมชาติแห่งความสงบ, ความรัก, และความสุข ซึ่งเป็นคุณสมบัติของปัญญาสากลที่เราเชื่อมต่ออยู่5. เราจะสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ และทำตามเป้าหมายได้อย่างไรหากไม่คิด? แหล่งข้อมูลอธิบายว่าเราสามารถสร้างสรรค์และบรรลุเป้าหมายได้โดยไม่ต้องใช้ "การคิด" ที่มาจากอัตตา แต่โดยการเชื่อมต่อกับแหล่งของความคิดที่มาจากปัญญาสากลหรือแรงบันดาลใจ มีเป้าหมายสองประเภท: เป้าหมายที่สร้างจากความสิ้นหวัง และเป้าหมายที่สร้างจากแรงบันดาลใจ เมื่อเราอยู่ในสภาวะที่ไม่คิด หรือ "ในโซน" เราจะเข้าถึงปัญญาที่ไม่มีที่สิ้นสุดและรับความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่มาจากการเชื่อมต่อกับจักรวาล ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างสรรค์ที่ไร้ข้อจำกัดและเต็มไปด้วยความปิติยินดี6. สภาวะที่ไม่คิด คืออะไร และเรารู้ได้อย่างไรว่าอยู่ในสภาวะนั้น? สภาวะที่ไม่คิด คือสภาวะที่จิตใจปราศจากการคิดที่วุ่นวายและการตัดสินที่มาจากอัตตา จากแหล่งข้อมูล
2025-05-16
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] The Subtle Art of Not Givinga Fck (Mark Manson) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ The Subtle Art of Not Givinga Fck เขียนโดย Mark Manson - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TheSubtleArtofNotGivingaFck - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TheSubtleArtofNotGivingaFck - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B019MMUA8S?tag=9natree-20 #TheSubtleArtofNotGivingaFck #รีวิวTheSubtleArtofNotGivingaFck #สรุปTheSubtleArtofNotGivingaFck #หนังสือTheSubtleArtofNotGivingaFck 1.การ "ไม่ใส่ใจ" ในหนังสือเล่มนี้หมายความว่าอย่างไร? การ "ไม่ใส่ใจ" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการไม่แคร์อะไรเลย ตรงกันข้าม มันคือการเลือกว่าจะใส่ใจอะไรอย่างมีสติ โดยยึดตามค่านิยมส่วนตัวที่ผ่านการพิจารณามาแล้ว มันคือการสามารถเผชิญหน้ากับความท้าทายและความยากลำบากในชีวิตและยังคงลงมือทำ เป็นการเพิกเฉยต่อสิ่งที่ไม่สำคัญเพื่อให้สามารถทุ่มเทความใส่ใจให้กับสิ่งที่สำคัญจริง ๆ เช่น มิตรภาพ ครอบครัว และเป้าหมายในชีวิต 2.อะไรคือ "Feedback Loop from Hell" และเราจะหลีกเลี่ยงมันได้อย่างไร? "Feedback Loop from Hell" คือการติดอยู่ในวงจรความคิดเชิงลบที่คุณรู้สึกแย่กับความรู้สึกแย่ ๆ ของตัวเอง เช่น วิตกกังวลกับการวิตกกังวล หรือโกรธกับการที่ตัวเองโกรธง่าย วงจรนี้ทำให้คุณรู้สึกแย่ลงไปอีก การหลีกเลี่ยงคือการตระหนักรู้ว่าการมีอารมณ์เชิงลบเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นมนุษย์ และยอมรับความไม่สมบูรณ์ของตัวเองแทนที่จะต่อต้านหรือตัดสินมัน การยอมรับว่าเราทุกคนมีข้อบกพร่องและปัญหาคล้ายคลึงกันเป็นวิธีหนึ่งที่จะก้าวข้ามวงจรนี้ 3.ทำไมการแสวงหาความสุขอย่างต่อเนื่องจึงเป็นปัญหา? แหล่งข้อมูลกล่าวว่าความสุขไม่ใช่สมการที่สามารถแก้ไขได้ ความไม่พึงพอใจและความไม่สบายใจเป็นส่วนสำคัญของธรรมชาติของมนุษย์และจำเป็นต่อการสร้างความสุขที่ยั่งยืน การพยายามมีความสุขตลอดเวลาหรือคิดว่าความสุขจะเกิดขึ้นเมื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่าง เป็นปัญหา เพราะมันทำให้เราหลีกหนีความจริงที่ว่าความเจ็บปวดและความสูญเสียเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความสุขที่แท้จริงมาจากการแก้ปัญหา ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงปัญหา 4.การยอมรับว่า "คุณไม่พิเศษ" มีความสำคัญอย่างไร? การยอมรับว่าคุณไม่พิเศษคือการยอมรับว่าปัญหา ความผิดพลาด และความไม่สมบูรณ์ของคุณไม่ได้ทำให้คุณแตกต่างหรือมีเอกลักษณ์จากผู้อื่น การคิดว่าตัวเองพิเศษนำไปสู่ความรู้สึกมีสิทธิ์ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ล้มเหลวในการแสวงหาความสุข การวัดคุณค่าของตัวเองไม่ได้อยู่ที่ประสบการณ์เชิงบวก แต่เป็นวิธีที่คุณจัดการกับประสบการณ์เชิงลบ การยอมรับว่าเราทุกคนมีข้อบกพร่องและปัญหาที่คล้ายคลึงกันจะช่วยให้เราสามารถเผชิญหน้ากับปัญหาของเราได้อย่างตรงไปตรงมาและพัฒนาตนเองได้ 5.ค่านิยมมีบทบาทอย่างไรในการกำหนดชีวิตของเรา? ค่านิยมคือสิ่งที่เราเลือกที่จะให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด และเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจของเรา รวมถึงวิธีที่เราวัดความสำเร็จและความล้มเหลวของตัวเอง ค่านิยม "แย่ ๆ" มักขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้และอาจนำไปสู่ปัญหาที่ไม่ดี ในขณะที่ค่านิยม "ดี ๆ" มุ่งเน้นไปที่สิ่งที่อยู่ในอำนาจของเราและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี การเลือกค่านิยมที่ดีขึ้นคือหัวใจสำคัญของการพัฒนาตนเอง เพราะเมื่อเราให้ความสำคัญกับสิ่งที่ดีขึ้น เราก็จะได้เจอกับปัญหาที่ดีขึ้น ซึ่งนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น 6.ทำไมการรับผิดชอบต่อปัญหาของตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าจะไม่ใช่ความผิดของเราก็ตาม? แม้ว่าบางสิ่งอาจไม่ใช่ความผิดของคุณ เช่น การเจอเหตุการณ์เลวร้าย แต่คุณต้องรับผิดชอบต่อสถานการณ์ของคุณเสมอ เพราะคุณมีอำนาจในการเลือกวิธีมองสิ่งต่าง ๆ วิธีตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ และวิธีให้คุณค่ากับสิ่งต่าง ๆ การยอมรับความรับผิดชอบต่อปัญหาของคุณเป็นขั้นตอนแรกในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ยิ่งคุณยอมรับความรับผิดชอบมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งมีอำนาจควบคุมชีวิตของคุณมากขึ้นเท่านั้น 7.ทำไมเราถึง "ผิดเสมอ" และการยอมรับสิ่งนี้มีประโยชน์อย่างไร? มนุษย์เรามักจะผิดในหลาย ๆ เรื่องเกี่ยวกับตัวเอง ผู้อื่น สังคม และโลก เพราะความคิดและความเชื่อส่วนใหญ่ของเราเป็นผลมาจากความไม่ถูกต้องและอคติในสมอง รวมถึงประสบการณ์ที่ไม่เป็นตัวแทนของโลกจริง ๆ การยอมรับว่าเราทุกคนมีแนวโน้มที่จะผิดพลาด และการตั้งคำถามกับความเชื่อของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตและการเรียนรู้ การยอมรับความไม่แน่นอนในตัวเองและการเปิดใจรับว่าคุณอาจจะผิด เป็นการกระทำที่ช่วยปลดปล่อยและนำไปสู่ความถ่อมตนและความเข้าใจผู้อื่น 8.การยอมรับความตายมีผลกระทบต่อชีวิตของเราอย่างไร? การเผช
2025-05-15
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Can't Hurt Me Master Your Mind and Defy the Odds (David Goggins) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Can't Hurt Me Master Your Mind and Defy the Odds เขียนโดย David Goggins - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/CannotHurtMeMasterYourMindandDefytheOdds - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/CannotHurtMeMasterYourMindandDefytheOdds - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B07H453KGH?tag=9natree-20 #CannotHurtMeMasterYourMindandDefytheOdds #รีวิวCannotHurtMeMasterYourMindandDefytheOdds #สรุปCannotHurtMeMasterYourMindandDefytheOdds #หนังสือCannotHurtMeMasterYourMindandDefytheOdds 1.หนังสือ "Cant Hurt Me" ของ David Goggins พูดถึงอะไร หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวชีวิตของ David Goggins ผู้ซึ่งเอาชนะความทุกข์ทรมานในวัยเด็ก และใช้ความท้าทายเหล่านี้เป็นเชื้อเพลิงในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขาอธิบายถึงการเดินทางของเขาจากการเป็นคนที่มีน้ำหนักเกิน ไร้ทิศทาง และอ่านหนังสือไม่เก่ง ไปสู่การเป็นหน่วยซีลของกองทัพเรือสหรัฐฯ นักกีฬาวิ่งอัลตรามาราธอน และผู้พูดสร้างแรงบันดาลใจ หนังสือเล่มนี้เน้นแนวคิดเรื่องความรับผิดชอบต่อตนเอง การเอาชนะขีดจำกัดทางจิตใจ และการใช้ความล้มเหลวเป็นเครื่องมือในการเติบโต 2."I Should Have Been a Statistic" หมายถึงอะไร ชื่อบทแรกนี้สื่อถึงพื้นเพชีวิตที่ยากลำบากของ Goggins เขาเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความรุนแรง การเหยียดเชื้อชาติ และความยากจน โดยอาศัยอยู่ในย่านที่มีความเสี่ยงสูง สภาพเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็น "สถิติ" ที่มีแนวโน้มจะล้มเหลวในชีวิต อย่างไรก็ตาม แทนที่จะยอมจำนนต่อโชคชะตา เขากลับใช้สถานการณ์ที่โหดร้ายเหล่านั้นเป็นแรงผลักดันในการเปลี่ยนแปลงและพิสูจน์ว่าเขาเหนือกว่าความคาดหวังทางลบที่สังคมอาจมีต่อเขา 3.แนวคิดเรื่อง "Taking Souls" คืออะไร "Taking Souls" เป็นกลยุทธ์ทางจิตใจที่ Goggins พัฒนาขึ้นระหว่างการฝึกหน่วยซีล BUD/S โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง Hell Week มันหมายถึงการเอาชนะคู่แข่ง ด้วยความทรหด ความอดทน และการปฏิเสธที่จะยอมแพ้ จนกระทั่งพวกเขารู้สึกพ่ายแพ้และท้อแท้ ไม่ใช่แค่ทางร่างกายแต่ทางจิตใจด้วย Goggins ใช้สิ่งนี้เพื่อหาพลังสำรองในตัวเอง และแม้ว่าจะใช้ในการแข่งขันทางกายภาพ แต่เขายังระบุด้วยว่าสามารถใช้เป็นกลยุทธ์ทางจิตใจเพื่อเอาชนะความยากลำบากส่วนตัวและการสงสัยในตัวเองได้เช่นกัน 4."Armored Mind" เกี่ยวข้องกับอะไร "Armored Mind" หรือ "จิตใจหุ้มเกราะ" คือแนวคิดของการสร้างกรอบความคิดที่แข็งแกร่งและทนทานอย่างไม่น่าเชื่อ แนวคิดนี้มาจากการยอมรับและเผชิญหน้ากับความกลัว ความไม่มั่นคง และความทรงจำที่เลวร้ายในอดีตแทนที่จะละเลยหรือหลีกเลี่ยงมัน ด้วยการเอาชนะความท้าทายและความล้มเหลวต่างๆ Goggins เชื่อว่าบุคคลจะสามารถ "ทำให้จิตใจด้านชา" ได้ ทำให้มีความทนทานต่อความทุกข์ทางจิตใจและร่างกายมากขึ้น กรอบความคิดนี้ช่วยให้บุคคลสามารถเผชิญหน้ากับความเป็นจริง รับผิดชอบต่อตนเอง และเอาชนะความสงสัยในตนเองได้ 5."The Most Powerful Weapon" คืออะไร จากแหล่งข้อมูลนี้ อาวุธที่ทรงพลังที่สุดดูเหมือนจะเป็น "ความรับผิดชอบต่อตนเอง" Goggins เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเผชิญหน้ากับความจริงเกี่ยวกับตัวคุณเองและสถานการณ์ของคุณโดยไม่ปฏิเสธ เขาสาบานตัวเองหน้ากระจก เพื่อยอมรับข้อบกพร่องและความผิดพลาดของเขา การรับผิดชอบต่อสถานการณ์ปัจจุบันของตนเอง แทนที่จะโทษผู้อื่นหรือโชคชะตา ช่วยให้บุคคลสามารถควบคุมและเริ่มกระบวนการเปลี่ยนแปลงตนเองได้ 6."Cookie Jar" หมายถึงอะไรในบริบทของหนังสือเล่มนี้ "Cookie Jar" เป็นกลไกในการรับมือทางจิตใจที่ Goggins ใช้เพื่อเอาชนะช่วงเวลาที่เจ็บปวดและยากลำบาก เขาบรรจุความสำเร็จในอดีตของเขา รวมถึงชัยชนะทั้งเล็กและใหญ่ และความท้าทายที่เขาเอาชนะได้ ลงใน "Cookie Jar" นี้ เมื่อเผชิญกับความทุกข์ทรมานหรือความสงสัยในตนเอง เขาจะ "หยิบ Cookie" ออกมาโดยระลึกถึงชัยชนะในอดีตเหล่านั้น เพื่อดึงเอาความเข้มแข็งและแรงจูงใจมาใช้ สิ่งนี้ช่วยให้เขาผลักดันต่อไปได้เมื่อร่างกายและจิตใจของเขากำลังจะยอมแพ้ 7.แนวคิดเรื่อง "Governor" ในจิตใจคืออะไร Goggins อธิบายว่า "Governor" เป็นขีดจำกัดทางจิตใจที่เรากำหนดไว้ให้กับตัวเอง ซึ่งมักจะอยู่ในรูปของความเจ็บปวด ความเหนื่อยล้า ความกลัว และความไม่มั่นคง มันเป็นส่วนหนึ่งของจิตใจเราที่บอกให้เราหยุดก่อนที่เราจะถึงขีดจำกัดที่แท้จริงของเรา แนวคิดคือผู้ว่าราชการนี้ไม่ได้ควบคุมเราอย่างเด็ดขาด เว้นแต่เราจะยอมรับข้อจำกัดของมัน Goggins ส่งเสริมให้ค่อยๆ "ถอด Governor" ออกโดยการผลักดันตัวเองให้ไปไก
2025-05-15
08 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Abundance (Ezra Klein) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Abundance เขียนโดย Ezra Klein - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/Abundance - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/Abundance - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0C7RLJSQD?tag=9natree-20 #Abundance #รีวิวAbundance #สรุปAbundance #หนังสือAbundance 1.ภาวะ "ความอุดมสมบูรณ์" ตามที่อธิบายในแหล่งที่มาคืออะไร? ตามแหล่งที่มา ภาวะ "ความอุดมสมบูรณ์" ถูกนิยามว่าเป็น "สภาวะที่มีเพียงพอต่อสิ่งที่จำเป็นในการสร้างชีวิตที่ดีกว่าที่เราเคยมีมา" มันไม่ใช่แค่ความ "มาก" แบบไร้ทิศทาง แต่เป็นปัจจัยทางกายภาพและวัฒนธรรมที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ กับธรรมชาติ แหล่งที่มาเน้นย้ำว่าความอุดมสมบูรณ์เกี่ยวข้องกับการมีสิ่งปลูกสร้างพื้นฐานของอนาคตอย่างเพียงพอ ได้แก่ ที่อยู่อาศัย การขนส่ง พลังงาน และสุขภาพ และขึ้นอยู่กับสถาบันและผู้คนที่ต้องสร้างสรรค์และประดิษฐ์อนาคตนั้น 2.วิวัฒนาการของเมืองและกฎการแบ่งเขต มีผลต่อการสร้างที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกาอย่างไร? ในช่วงปี 1800 เมืองในสหรัฐอเมริกาไม่มีกฎการแบ่งเขตใดๆ กฎเหล่านี้เริ่มปรากฏขึ้นในต้นศตวรรษที่ 20 โดยเริ่มจากลอสแอนเจลิสและนิวยอร์กซิตี้ กฎการแบ่งเขตเริ่มแรกไม่ได้จำกัดการสร้างที่อยู่อาศัยมากนัก แต่กำหนดประเภทของอาคารที่สามารถสร้างได้ในแต่ละพื้นที่ อย่างไรก็ตาม การทดลองการแบ่งเขตในสหรัฐอเมริกาพัฒนาไปสู่การใช้กฎการแบ่งเขตเพื่อควบคุมการเติบโต ซึ่งท้ายที่สุดก็จำกัดอุปทานของที่อยู่อาศัยอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองใหญ่ กฎเหล่านี้ยังมักถูกใช้เพื่อกีดกันคนที่ไม่ใช่คนผิวขาวจากการเป็นเจ้าของในพื้นที่ที่ร่ำรวยของเมือง 3.ปัญหาการเติบโตที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมือง มักจะเชื่อมโยงกับมุมมองที่น่ากังวลอย่างไร? ปัญหาการเติบโตที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมือง มักจะพัฒนาไปสู่ความเกลียดชังผู้ที่มาใหม่ ผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานที่นั้นแล้วถูกมองว่าเป็นผู้ดูแล ผู้ปกป้อง เสียงของสถานที่นั้น ในขณะที่ผู้ที่ต้องการย้ายเข้ามาถูกมองว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า มุมมองนี้ปรากฏในคำพูดที่อ้างถึงโดยแหล่งที่มา ซึ่งกล่าวว่าปัญหาการอนุรักษ์ทั้งหมดเป็นปัญหาประชากร และความพยายามในการอนุรักษ์ธรรมชาติจะถูกทำลายโดยการหลั่งไหลเข้ามาของประชากรใหม่ 4.พลังงานมีความสำคัญอย่างไรต่อความมั่งคั่งและความเท่าเทียมกัน? พลังงานเป็นแกนหลักของความมั่งคั่ง หากไม่มีพลังงาน แม้ความมั่งคั่งทางวัตถุก็มีขีดจำกัดที่ชัดเจน แหล่งที่มาเปรียบเทียบผู้คนตามการเข้าถึงพลังงานของพวกเขา โดยชี้ว่าผู้คนหลายพันล้านคนทั่วโลกยังคงมีพลังงานไม่เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตขั้นพื้นฐาน เช่น การหุงต้มหรือให้แสงสว่าง ความไม่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงพลังงานเป็นความไม่เท่าเทียมกันที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ในขณะที่สังคมที่มีเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่ร่ำรวยมีแนวโน้มที่จะมีอากาศและน้ำที่สะอาดขึ้น ปัญหามลพิษทางอากาศไม่ใช่ปัญหาของการใช้พลังงานมากเกินไปหรือการเติบโตมากเกินไป แต่เป็นปัญหาของการใช้พลังงานสกปรกเนื่องจากขาดเงินทุนหรือเทคโนโลยีในการเติบโตด้วยวิธีอื่น 5.ความท้าทายในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาดตามที่แหล่งที่มาอธิบายคืออะไร? ความท้าทายในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาดคือความต้องการปริมาณพลังงานที่สะอาดมากขึ้นอย่างมหาศาล นอกเหนือจากการทำให้โครงข่ายไฟฟ้าในปัจจุบันสะอาดแล้ว จำเป็นต้องมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่มาจากแผงโซลาร์เซลล์ กังหันลม และแบตเตอรี่เก็บพลังงาน การสร้างนี้ต้องทำอย่างรวดเร็ว และต้องใช้พื้นที่จำนวนมาก ตัวอย่างเช่น เส้นทางที่เป็นไปได้ในการลดคาร์บอนต้องใช้การติดตั้งกังหันลมและแผงโซลาร์เซลล์บนพื้นที่ขนาดใหญ่เท่ากับพื้นที่ของรัฐหลายรัฐรวมกัน และจำเป็นต้องมีการติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์เป็นเวลาหลายสิบปี 6."ลัทธิเสรีนิยมเชิงโต้แย้ง" คืออะไร และส่งผลต่อการทำงานของรัฐบาลในสหรัฐอเมริกาอย่างไร? "ลัทธิเสรีนิยมเชิงโต้แย้ง" เป็นระบบที่การตัดสินใจซึ่งมักจะทำโดยระบบราชการในประเทศอื่นๆ ถูกทำโดยผู้พิพากษาในสหรัฐอเมริกา ระบบนี้เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวที่นำโดยบุคคลเช่น Ralph Nader ซึ่งสร้างการเคลื่อนไหวเพื่อควบคุมรัฐบาลผ่านการฟ้องร้อง ผลลัพธ์คือระบบที่กฎหมาย สิทธิ์ทางกฎหมาย ผู้พิพากษา และการฟ้องร้องกลายเป็นสิ่งที่เทียบเท่ากับการทำงานของหน่วยงานราชการขนาดใหญ่ในประเทศตะวันตกอื่นๆ ลัทธิเสรีนิยมในรูปแบบนี้มองว่ารัฐบาลไม่ใช่หุ้นส่วนในการแก้ปัญหา แต่เป็นแหล่งที่มาของปัญหาเอง ทำให้การดำเนิน
2025-05-15
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] I'm Glad My Mom Died (Jennette Mccurdy) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ I'm Glad My Mom Died เขียนโดย Jennette Mccurdy - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/IamGladMyMomDied - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/IamGladMyMomDied - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B09JPJ833S?tag=9natree-20 #IamGladMyMomDied #รีวิวIamGladMyMomDied #สรุปIamGladMyMomDied #หนังสือIamGladMyMomDied 1. ผู้เขียนมีปฏิสัมพันธ์อย่างไรกับแม่ของเธอ และปฏิสัมพันธ์เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเธออย่างไร? ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เขียนกับแม่ของเธอเป็นศูนย์กลางและซับซ้อน แม่เป็นผู้ควบคุมในชีวิตของผู้เขียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับอาชีพการแสดงของเธอ เธอผลักดันให้ผู้เขียนเข้าสู่วงการฮอลลีวูดตั้งแต่เด็ก และควบคุมอย่างใกล้ชิดทุกแง่มุมของชีวิตเธอ ตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอก ไปจนถึงนิสัยการกิน แม่มักจะแชร์เรื่องราวของตัวเองในฐานะนักแสดงที่พลาดโอกาส และดูเหมือนจะฉายภาพความฝันของเธอลงบนลูกสาว ความสัมพันธ์นี้มีความผูกพันอย่างลึกซึ้ง แต่ก็ยังเต็มไปด้วยการควบคุมและการจัดการ การกระทำของแม่นำไปสู่ความสับสนและความกังวลของผู้เขียน และความปรารถนาที่จะทำให้แม่มีความสุขกลายเป็น "จุดมุ่งหมาย" ของเธอ การควบคุมของแม่เกี่ยวกับอาหารและร่างกายของผู้เขียนมีส่วนสำคัญในการพัฒนาโรคการกินของผู้เขียน2. โรคการกินมีบทบาทอย่างไรในชีวิตของผู้เขียน และเธอจัดการกับมันอย่างไร? โรคการกินเป็นประเด็นที่สำคัญในชีวิตของผู้เขียน ตั้งแต่ความพยายามที่จะคงไว้ซึ่งร่างกายแบบเด็ก ไปจนถึงการพัฒนาเป็นโรคอะนอเร็กเซีย และต่อมาเป็นโรคบูลิเมีย แรงกดดันจากแม่เรื่องน้ำหนักและการควบคุมอาหารมีผลอย่างมากต่อพฤติกรรมเหล่านี้ ผู้เขียนชั่งน้ำหนักตัวเองหลายครั้งต่อวันและรู้สึกกังวลอย่างมากเกี่ยวกับสิ่งที่เธอกิน การต่อสู้กับโรคการกินเป็นไปอย่างยาวนานและยากลำบาก มีช่วงเวลาแห่งความสับสนและการปฏิเสธ และช่วงเวลาแห่งการควบคุมที่เข้มงวด ในที่สุด ผู้เขียนก็เริ่มกระบวนการบำบัด โดยการยอมรับว่าปัญหาของเธอ เส้นทางการฟื้นตัวนั้น "ยังคงขรุขระ" โดยมี "ความผิดพลาด" เกิดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว3. อาชีพการแสดงของผู้เขียนมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของเธออย่างไร? อาชีพการแสดงของผู้เขียนมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับความสัมพันธ์ของเธอกับแม่ และเป็นแหล่งที่มาของความเครียดและความวิตกกังวลอย่างมาก การออดิชั่นทำให้ผู้เขียนรู้สึก "เป็นอัมพาตด้วยความกังวล" และมีความกดดันอย่างต่อเนื่องที่จะ "ถูกเลือก" และความเศร้าที่มาพร้อมกับการไม่ถูกเลือก แม้หลังจากได้รับบทบาท ความคาดหวังและความต้องการของอุตสาหกรรม ก็ยังคงสร้างความท้าทาย การถ่ายทำฉากจูบครั้งแรกเป็นประสบการณ์ที่น่าอึดอัดและถูกควบคุมอย่างมาก และการที่ผู้เขียนไม่เต็มใจที่จะทำตามนั้นทำให้ผู้สร้างแสดงความโกรธออกมา ความเป็นอยู่ของผู้เขียนถูกส่งผลกระทบจากความต้องการของผู้สร้างและผู้มีอำนาจในฮอลลีวูด และแม้แต่รูปลักษณ์ของเธอก็ถูกตรวจสอบและวิจารณ์ ความเป็นคนดังทำให้ผู้เขียนรู้สึก "ไม่สบายใจตลอดเวลา" และวิตกกังวลเมื่อต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า4. เราเห็นตัวอย่างของการจัดการและการควบคุมที่ผู้เขียนต้องเผชิญในแหล่งข้อมูลได้อย่างไร? แหล่งข้อมูลให้ตัวอย่างมากมายของการจัดการและการควบคุมที่ผู้เขียนต้องเผชิญ ส่วนใหญ่มาจากแม่ของเธอ แม่ควบคุมการออดิชั่น การแต่งกาย และการกินของผู้เขียน แม่ใช้กลอุบายทางอารมณ์ เช่น การบอกว่าผู้เขียนเป็น "เพื่อนสนิท" ของเธอ เพื่อสร้างความผูกพันและทำให้ผู้เขียนรู้สึกมีจุดมุ่งหมายในการทำให้แม่มีความสุข แม่ยังใช้ความรู้สึกผิด และการกีดกัน เพื่อควบคุมพฤติกรรมของผู้เขียน นอกเหนือจากแม่แล้ว ผู้เขียนยังต้องเผชิญกับการควบคุมจากผู้มีอำนาจในวงการบันเทิง คำวิจารณ์เกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอก และแรงกดดันที่จะต้องทำตามความคาดหวัง แม้แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัวก็แสดงให้เห็นถึงการขาดการควบคุมของเธอ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกที่ไม่เต็มใจ และการตอบสนองต่อคำสั่งของคู่เดท5. ผู้เขียนค้นหาความเป็นอิสระและความเป็นตัวของตัวเองอย่างไร? แม้จะเผชิญกับการควบคุมอย่างหนัก ผู้เขียนก็เริ่มค้นหาความเป็นอิสระและความเป็นตัวของตัวเอง แหล่งที่มาบ่งบอกถึงความปรารถนาที่จะเป็นอิสระ เช่น การสังเกตนักแสดงร่วมคนหนึ่งที่ "ดูเหมือนมีความเป็นอิสระที่หนูไม่มี" และการกินอาหารที่แม่ไม่เห็นด้วยอย่างลับๆ การย้ายออกไปอยู่เองก็เป็นก้าวสำคัญสู่ความเป็นอิสระ การเริ่มต้นบำบัดเป็นขั้นตอนสำคัญในการค้นหาตัวเองและการฟื้นฟู โดยให้ผู้เขียนมีพื้นที่ปลอดภัยในการสำรวจความรู้สึกและพฤติกรรมของเธอ ผู้เขียนเริ่มยอมรับปัญหา
2025-05-14
06 min
9Natree Thailand
[รีวิว] How to Win Friends and Influence People (Dale Carnegie) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ How to Win Friends and Influence People เขียนโดย Dale Carnegie - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/HowtoWinFriendsandInfluencePeople - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/HowtoWinFriendsandInfluencePeople - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0912CMYHD?tag=9natree-20 #HowtoWinFriendsandInfluencePeople #รีวิวHowtoWinFriendsandInfluencePeople #สรุปHowtoWinFriendsandInfluencePeople #หนังสือHowtoWinFriendsandInfluencePeople 1.อะไรคือเป้าหมายหลักของหนังสือ "วิธีชนะมิตรและจูงใจคน"? หนังสือ "วิธีชนะมิตรและจูงใจคน" มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้อ่านพัฒนาทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เพื่อเพิ่มอิทธิพล อำนาจในการทำให้สิ่งต่างๆ สำเร็จได้ จัดการกับข้อร้องเรียน หลีกเลี่ยงการโต้แย้ง รักษาความสัมพันธ์กับผู้คนให้ราบรื่นและน่ารื่นรมย์ เป็นนักพูดและนักสนทนาที่ดีขึ้น รวมถึงสร้างความกระตือรือร้นในหมู่เพื่อนร่วมงาน เนื้อหาในหนังสือถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในการได้รับความเข้าใจ การยอมรับ และความรู้สึกมีค่า 2.ทำไมการวิพากษ์วิจารณ์ การตำหนิ หรือการบ่นถึงไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับผู้คน? การวิพากษ์วิจารณ์ การตำหนิ หรือการบ่นมักไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์มักจะไม่ยอมรับความผิดและหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง แม้แต่ผู้กระทำผิดที่เลวร้ายที่สุดอย่าง อัล คาโปน หรืออาชญากรในคุกส่วนใหญ่ก็ยังมองว่าตนเองไม่ได้เลวร้าย แต่พยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนการกระทำของตนเอง การวิพากษ์วิจารณ์ทำให้เกิดความขุ่นเคือง บั่นทอนกำลังใจ และไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ที่ถูกตำหนิได้อย่างแท้จริง คนส่วนใหญ่ต่อต้านการถูกบอกว่าผิด เพราะนั่นเป็นการคุกคามต่อความภาคภูมิใจในตนเอง แทนที่จะเปลี่ยนความคิดของพวกเขา การวิพากษ์วิจารณ์กลับทำให้พวกเขาดื้อรั้นและหาเหตุผลมาปกป้องความเชื่อเดิมของตนเอง 3.ความปรารถนาที่สำคัญที่สุดในธรรมชาติของมนุษย์คืออะไร? ความปรารถนาที่สำคัญที่สุดในธรรมชาติของมนุษย์คือ 'ความปรารถนาที่จะรู้สึกมีค่า' หรือ 'ความปรารถนาที่จะสำคัญ' จอห์น ดิวอี้ นักปรัชญาชื่อดังระบุว่าเป็นสัญชาตญาณที่ลึกซึ้งที่สุด แรงขับเคลื่อนนี้เป็นที่มาของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เช่น แรงบันดาลใจให้ดิคเก้นส์เขียนนวนิยาย หรือทำให้ร็อกกี้เฟลเลอร์สะสมความมั่งคั่ง และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนในเมืองสร้างบ้านหลังใหญ่เกินความจำเป็น เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของตนเอง แม้แต่วายร้ายอย่างดิลลิงเจอร์ก็ยังรู้สึกสำคัญจากการเป็นอาชญากรชื่อดัง ความปรารถนานี้แข็งแกร่งมากจนบางคนถึงกับยอมเจ็บป่วยเพื่อเรียกร้องความเห็นใจและรู้สึกมีค่า 4.การให้ความชื่นชมและการให้กำลังใจมีความสำคัญอย่างไรในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี? การให้ความชื่นชมและให้กำลังใจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดึงสิ่งที่ดีที่สุดที่อยู่ในตัวบุคคล ชาร์ลส์ ชวับป์กล่าวว่า ความสามารถในการสร้างความกระตือรือร้นในหมู่ผู้คนเป็นทรัพย์สินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา และวิธีพัฒนาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวบุคคลคือการให้ความชื่นชมและกำลังใจ การวิพากษ์วิจารณ์จากผู้บังคับบัญชาจะบั่นทอนความทะเยอทะยานของผู้คนได้มากที่สุด การให้ความชื่นชมอย่างจริงใจแสดงให้เห็นว่าเราเห็นคุณค่าของผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา การทำตามกฎทองโดยการให้ความชื่นชมผู้อื่นอย่างที่เราอยากได้รับ เป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี 5.การแสดงความสนใจในผู้อื่นอย่างแท้จริงมีประโยชน์อย่างไร? การแสดงความสนใจในผู้อื่นอย่างแท้จริงเป็นหนึ่งในหลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการชนะมิตรและจูงใจคน ผู้คนมักสนใจในตัวเองมากกว่าผู้อื่น โดยคำว่า "ฉัน" เป็นคำที่ถูกใช้บ่อยที่สุดในการสนทนาทางโทรศัพท์ การสนใจในเรื่องราวและความสนใจของผู้อื่นจะทำให้เราเป็นที่ชื่นชอบและได้รับการต้อนรับที่ดี แม้แต่บุคคลสำคัญที่มีคนมากมายต้องการพบ การแสดงความสนใจอย่างแท้จริงในตัวพวกเขา เช่น ถามเกี่ยวกับงานอดิเรกหรือความสำเร็จ จะช่วยเปิดประตูสู่ความร่วมมือและความสัมพันธ์ที่ดีได้ การจำชื่อบุคคลและการกล่าวทักทายด้วยความกระตือรือร้นก็เป็นการแสดงความสนใจที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกดี 6.ทำไมการเป็นผู้ฟังที่ดีจึงสำคัญ? การเป็นผู้ฟังที่ดีมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความสัมพันธ์และสร้างความประทับใจ ผู้คนชอบพูดเกี่ยวกับตัวเองและความสนใจของตนเอง การรับฟังอย่างตั้งใจและกระตุ้นให้ผู้อื่นพูดเกี่ยวกับตัวเองเป็นการแสดงความสนใจและให้ความสำคัญกับพวกเขา ซึ่งเป็นการแสดงความชื่นชมที่สูงที่สุดอย่างหนึ่ง ดร. อีเลียต และซิกมุนด์ ฟร
2025-05-14
08 min
9Natree Thailand
[รีวิว] The Body Keeps the Score (Bessel van der Kolk) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ The Body Keeps the Score เขียนโดย Bessel van der Kolk - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TheBodyKeepstheScore - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TheBodyKeepstheScore - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B00IICN1F8?tag=9natree-20 #TheBodyKeepstheScore #รีวิวTheBodyKeepstheScore #สรุปTheBodyKeepstheScore #หนังสือTheBodyKeepstheScore 1. เหตุใดการใช้ยาเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอในการรักษาผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ? จากแหล่งข้อมูล การใช้ยาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอเนื่องจากยาบางชนิด เช่น ยากล่อมประสาท และยากล่อมประสาทรุ่นที่สอง แม้ว่าจะช่วยลดอาการบางอย่าง เช่น ภาวะตื่นตัวมากเกินไป หรือความโกรธ ได้ แต่ก็อาจขัดขวางความสามารถในการรับรู้สัญญาณความสุข ความพึงพอใจ หรืออันตรายที่ละเอียดอ่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นสำหรับการมีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันและสร้างความสัมพันธ์ นอกจากนี้ ยาเหล่านี้อาจมีผลข้างเคียง เช่น น้ำหนักขึ้น เบาหวาน และทำให้ร่างกายเฉื่อยชา ซึ่งยิ่งเพิ่มความรู้สึกแปลกแยกออกไปอีก กรณีของ Tom แสดงให้เห็นว่ายาไม่ได้แก้ไขปัญหาพื้นฐาน การปฏิเสธยาของเขาเกิดจากความต้องการที่จะ "เป็นอนุสรณ์สถานที่มีชีวิต" ให้เพื่อนที่เสียชีวิตในสงครามเวียดนาม ซึ่งเป็นความต้องการทางจิตใจมากกว่าที่จะเป็นปัญหาทางชีวเคมีเพียงอย่างเดียว ยาไม่สามารถจัดการกับอาการชาทางอารมณ์ ความรู้สึกแปลกแยกจากตัวเองและคนรอบข้าง หรือการขาดความรู้สึกมีเป้าหมายและทิศทางที่ Tom ประสบได้ แหล่งข้อมูลเน้นย้ำว่าการรักษาที่มีประสิทธิภาพต้องจัดการกับผลกระทบทางร่างกายและจิตใจที่เกิดจากการบาดเจ็บอย่างครอบคลุม นอกเหนือจากการควบคุมอาการด้วยยา2. การบาดเจ็บส่งผลต่อความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเองของผู้รอดชีวิตอย่างไร? การบาดเจ็บสามารถส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเอง ของผู้รอดชีวิต ผู้รอดชีวิตอาจประสบกับอาการชาทางอารมณ์ ทำให้พวกเขารู้สึกตัดขาดจากความรู้สึกของตัวเองและคนรอบข้าง ดังที่ Tom อธิบายว่ารู้สึกเหมือนหัวใจแข็งตัวและใช้ชีวิตอยู่หลังกำแพงกระจก อาการนี้อาจขยายไปถึงตัวเอง ทำให้พวกเขารู้สึกแทบไม่รู้จักตัวเองเมื่อมองในกระจก หรือสังเกตตัวเองจากระยะไกล นอกจากนี้ การบาดเจ็บยังสามารถนำไปสู่การสลายตัวของบุคลิกภาพ ซึ่งเป็นการสูญเสียความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเองอย่างรุนแรง ดังกรณีของ Ute ซึ่งการสแกนสมองแสดงความว่างเปล่าในสมองระหว่างการย้อนรำลึก หรือประสบการณ์ของผู้เขียนที่ถูกปล้นและรู้สึกว่าลอยอยู่เหนือเหตุการณ์ มองดูตัวเองจากภายนอก การสลายตัวของบุคลิกภาพทำให้โลกรอบตัวดูแปลก ประหลาด ต่างไปจากเดิม เหมือนฝัน และความสามารถในการสัมผัสทั้งความเจ็บปวดและความสุขก็หายไป การบาดเจ็บยังส่งผลกระทบต่อระบบการรับรู้ร่างกายของตนเอง ซึ่งเป็นรากฐานของความตระหนักทางอารมณ์ เมื่อความรู้สึกถูกปิดกั้น ผู้รอดชีวิตจะไม่รู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างเต็มที่ พวกเขาสามารถรู้สึกเหมือนถูกแยกออกจากร่างกายของตัวเอง ประสบการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสียหายต่อเครือข่ายในสมองที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความรู้สึก "ตัวเอง" ซึ่งเป็นสถานะเริ่มต้นของสมองเมื่อไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ในใจเป็นพิเศษ3. เหตุใดผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญจึงมักมีปัญหาในการจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น? ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญมักมีปัญหาในการจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ เนื่องจากการบาดเจ็บทำให้สมองส่วนทาลามัส ซึ่งทำหน้าที่เป็นสถานีถ่ายทอด ในการรวบรวมข้อมูลความรู้สึกจากประสาทสัมผัสต่างๆ และบูรณาการข้อมูลเหล่านั้นเข้าเป็นความทรงจำอัตชีวประวัติ หยุดทำงาน เมื่อทาลามัสหยุดทำงาน ข้อมูลความรู้สึกจะไม่ถูกรวมเข้าเป็นเรื่องราวที่เป็นเรื่องเล่าที่มีจุดเริ่มต้น ตรงกลาง และจุดสิ้นสุด แต่จะถูกจดจำไว้ในรูปแบบของร่องรอยความรู้สึกที่แยกขาดจากกัน เช่น ภาพ เสียง และความรู้สึกทางกาย ซึ่งมักมาพร้อมกับอารมณ์ที่รุนแรง เช่น ความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง ทาลามัสยังทำหน้าที่เป็นตัวกรองหรือผู้ดูแลประตู ในกระบวนการให้ความสนใจ การมีสมาธิ และการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เมื่อทาลามัสหยุดทำงานในระหว่างการบาดเจ็บ ความสามารถเหล่านี้ก็จะเสียไป ทำให้ผู้รอดชีวิตมีปัญหาในการแยกแยะข้อมูลความรู้สึกที่เกี่ยวข้องออกจากข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการประมวลผลและจัดระเบียบความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น4. เหตุใดความสัมพันธ์ทางสังคมและการมีส่วนร่วมในชุมชนจึงมีความสำคัญต่อการฟื้นฟูจากการบาดเจ็บ? ความสัมพันธ์ทางสังคมและการมีส่วนร่วมในชุมชนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกา
2025-05-14
07 min
9Natree Thailand
[รีวิว] The Next Conversation Argue Less Talk More (Jefferson Fisher) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ The Next Conversation Argue Less Talk More เขียนโดย Jefferson Fisher - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TheNextConversationArgueLessTalkMore - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TheNextConversationArgueLessTalkMore - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0D57KTPT1?tag=9natree-20 #TheNextConversationArgueLessTalkMore #รีวิวTheNextConversationArgueLessTalkMore #สรุปTheNextConversationArgueLessTalkMore #หนังสือTheNextConversationArgueLessTalkMore 1. อะไรคือแนวคิดหลักที่หนังสือเล่มนี้ต้องการสื่อเกี่ยวกับวิธีการพูดคุย? หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เกี่ยวกับวิชาชีพทางกฎหมายของผู้เขียน แต่เกี่ยวกับวิธีการ "พูดอย่างกล้าหาญ เชิดหน้า ยอมรับความเปราะบางที่มาพร้อมกับการเปิดเผยทั้งหมด" เป้าหมายคือการช่วยให้ผู้อ่าน "พูดในสิ่งที่หมายถึง และหมายถึงในสิ่งที่พูด" โดยเลือก "ความกล้าหาญเหนือความสบาย" แม้ว่าเสียงจะสั่นก็ตาม การพูดอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้หมายความว่าขาดความเห็นอกเห็นใจ แต่เป็นเรื่องของการสื่อสารตัวตนและค่านิยมของตนเองเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกในความสัมพันธ์2. อะไรคือ "บทสนทนาภายใน" ที่มองไม่เห็น และเราจะรับรู้ได้อย่างไร? เมื่อมีคนแสดงปฏิกิริยาที่มากเกินไปในสถานการณ์หนึ่ง โดยยกระดับการสนทนาขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงว่ามี "บทสนทนาอีกบทหนึ่งที่เกิดขึ้นในหัวของคนๆ นั้น ซึ่งคุณไม่ได้ถูกเชิญเข้าไป" สิ่งที่ซ่อนอยู่ได้เข้ามาควบคุมการกรองของพวกเขา และกำลังขับเคลื่อนปฏิกิริยาของพวกเขาอยู่ เราเห็นเพียงแค่ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น การรับรู้ถึงสิ่งนี้คือการตระหนักว่ามีบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่ากำลังเกิดขึ้น และกระตุ้นให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับแหล่งที่มาของปฏิกิริยานั้น3. ทำไมเราถึงได้ยินเสียงของตัวเองแตกต่างจากเสียงที่คนอื่นได้ยินในบันทึก? เสียงที่เราได้ยินในหัวเมื่อเราพูดนั้นมาจากแรงสั่นสะเทือนผ่านกระดูกของเรา สายเสียงเดินทางขึ้นผ่านกะโหลกศีรษะเข้าไปในหูชั้นในของเรา ทำให้เสียงของเราฟังดูทุ้มและเข้มขึ้น เสียงที่คุณได้ยินเมื่อคุณฟังบันทึกเสียงมาจากคลื่นเสียงผ่านอากาศ ซึ่งทำให้เสียงของคุณฟังดูบางลงหรือ "ผิดไปจากที่คาดหวัง" นี่คือเหตุผลว่าทำไมเมื่อคุณดูวิดีโอหรือฟังบันทึกเสียงของตัวเอง คุณอาจคิดว่า "เดี๋ยวนะ นั่นเสียงฉันเหรอ? ฉันเสียงอย่างนี้เหรอ?" นั่นเป็นเพราะมันไม่ใช่เสียงที่คุณได้ยิน4. "การหายใจเพื่อการสนทนา" คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร? "การหายใจเพื่อการสนทนา" คือเทคนิคการหายใจช้าๆ อย่างควบคุม ซึ่งสามารถทำได้ในระหว่างการสนทนาตามปกติ โดยการหายใจเข้าช้าๆ ทางจมูกเป็นเวลาสองวินาที หายใจกลั้นไว้ช่วงสั้นๆ และหายใจออกช้าๆ นานขึ้นกว่าการหายใจเข้า ประโยชน์ของการหายใจทางจมูกคือการทำให้การหายใจช้าลงและลึกขึ้นโดยใช้กะบังลม ซึ่งป้องกันอาการ "จุดระเบิด" หรืออาการทางสรีรวิทยาของความขัดแย้ง การหายใจออกที่ยาวขึ้นยังช่วยให้สงบและผ่อนคลาย ซึ่งได้รับการยืนยันจากการศึกษาเกี่ยวกับ "การถอนหายใจทางสรีรวิทยา" การหายใจเป็นจังหวะยังช่วยให้มีสมาธิและควบคุมตนเองได้มากขึ้น คล้ายคลึงกับการฝึก "การหายใจทางยุทธวิธี" ของหน่วยซีล5. การใช้ "Quick Scan" ในการสนทนาช่วยได้อย่างไร? "Quick Scan" เป็นกระบวนการสี่ขั้นตอนที่ช่วยให้คุณมีสมาธิและรับรู้ความรู้สึกภายในตัวเองขณะสนทนา เริ่มด้วยการหายใจเพื่อการสนทนา จากนั้นหลับตาชั่วครู่ขณะหายใจเข้า หายใจออกและรับรู้ถึงความตึงเครียดหรือความไม่สบายในร่างกายของคุณ และสุดท้ายให้ระบุอารมณ์ที่คุณกำลังรู้สึกอยู่ในขณะนั้นด้วยคำเพียงคำเดียว การทำ Quick Scan ช่วยให้คุณตระหนักถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับคุณ เพิ่มความโปร่งใสและซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น และทำให้ความต้องการของคุณชัดเจนขึ้น6. "Small Talk" คืออะไร และมีบทบาทอย่างไรในการสร้างความมั่นใจ? "Small Talk" ในบริบทนี้หมายถึงการพูดคุยเล็กๆ กับตัวเอง วลีสั้นๆ ที่เสริมพลังหรือช่วยปรับสมดุลเมื่อรู้สึกไม่มั่นคง ต่างจากคำยืนยันเชิงบวกทั่วไป Small Talk มักจะเชื่อมโยงกับเป้าหมายหรือค่านิยมส่วนตัว และมักจะเริ่มต้นด้วยคำกริยา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การใช้ Small Talk ที่มีความหมายส่วนตัว เช่น วลีที่คนในครอบครัวเคยใช้ สามารถเป็นจุดยึดที่มีพลังในช่วงเวลาแห่งความสงสัยในตนเอง การเลือกใช้คำที่ปฏิบัติต่อตัวเองได้ดีขึ้น ช่วยให้คุณก้าวไปข้างหน้า และสร้างมายด์เซ็ตแห่งความมั่นใจ7. การหยุดชั่วคราว มีพลังในการสื่อสารอย่างไร? การหยุดชั่วคราว หรือ Pauses เป็นเครื่องมือที่มีพลังในการสื่อสาร เพราะช่วยให้คุณควบคุมเวลาและความเร็วของ
2025-05-13
10 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Outlive The Science and Art of Longevity ( Peter Attia MD, Bill Gifford) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Outlive The Science and Art of Longevity เขียนโดย Peter Attia MD, Bill Gifford - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/OutliveTheScienceandArtofLongevity - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/OutliveTheScienceandArtofLongevity - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0B1BTJLJN?tag=9natree-20 #OutliveTheScienceandArtofLongevity #รีวิวOutliveTheScienceandArtofLongevity #สรุปOutliveTheScienceandArtofLongevity #หนังสือOutliveTheScienceandArtofLongevity 1. อะไรคือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "การมีอายุยืนยาว" และสิ่งที่ผู้เขียนพยายามทำแตกต่างกันไป? แหล่งที่มาเน้นว่าคำว่า "การมีอายุยืนยาว" ได้รับความเสียหายจากกลุ่มนักต้มตุ๋นและพวกนักต้มตุ๋นมานานหลายศตวรรษที่อ้างว่ามี "ยาอายุวัฒนะ" เพื่อชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ผู้เขียนไม่ต้องการถูกเชื่อมโยงกับคนเหล่านี้และไม่ได้อ้างว่ามีสูตรสำเร็จง่ายๆ สำหรับปัญหานี้ เขาเข้าถึง "การมีอายุยืนยาว" จากมุมมองทางการแพทย์ที่มุ่งเน้นไปที่การป้องกันโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับอายุและการรักษาสุขภาพและการทำงานให้นานที่สุด แทนที่จะพยายามเอาชนะความตายอย่างสมบูรณ์แบบ2. ผู้เขียนใช้อุปมาเรื่อง "การจับไข่ที่กำลังตกลงมา" อย่างไรเพื่อแสดงถึงมุมมองของเขาเกี่ยวกับการแพทย์แบบดั้งเดิม? อุปมาเรื่อง "การจับไข่ที่กำลังตกลงมา" อธิบายความรู้สึกท่วมท้นและไร้ความสามารถของผู้เขียนในการแพทย์แบบดั้งเดิม เขารู้สึกเหมือนกำลังพยายามจับไข่ที่ตกลงมา ซึ่งเปรียบเสมือนการพยายามรักษาโรคที่เกิดขึ้นแล้วโดยไม่สามารถหยุดยั้งการเกิดขึ้นได้ อุปมานี้เน้นย้ำถึงความไร้ประสิทธิภาพของแนวทางที่รอจนกว่าปัญหาจะเกิดขึ้นก่อนที่จะพยายามแก้ไข แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่การป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ3. เหตุใดผู้เขียนจึงมองว่าหลักการทางการแพทย์ของฮิปโปเครติส "อันดับแรก อย่าทำอันตรายใดๆ" เป็นปัญหาในหลายๆ ด้าน? ผู้เขียนถือว่าหลักการ "อันดับแรก อย่าทำอันตรายใดๆ" ของฮิปโปเครติสเป็นปัญหาด้วยเหตุผลหลายประการ ฮิปโปเครติสไม่เคยกล่าวคำนี้อย่างถูกต้อง เป็นคำกล่าวที่ดูเหมือนจะซื่อสัตย์ แต่ไม่ใช่ในความเป็นจริง ในหลายๆ ด้านไม่เป็นประโยชน์ เขากล่าวว่าการรักษาหลายอย่างในอดีตมักสร้างอันตรายมากกว่าการรักษา และการยึดติดกับหลักการนี้สามารถขัดขวางการใช้การแทรกแซงเชิงรุกที่อาจมีความเสี่ยงเล็กน้อย แต่ให้ผลดีในระยะยาว ซึ่งจำเป็นสำหรับการป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุ4. เมตาบอลิกซินโดรม โดยเฉพาะไขมันตับที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และตับอักเสบไขมันตับที่ไม่มีแอลกอฮอล์ มีความเชื่อมโยงกับ "สี่อาชาของวาระสุดท้ายแห่งความชรา" อย่างไร? ผู้เขียนมองว่าเมตาบอลิกซินโดรม รวมถึง NAFLD และ NASH เป็นจุดเริ่มต้นของโรคระบาดทั่วโลกของโรคเมตาบอลิก ซึ่งครอบคลุมถึงภาวะดื้ออินซูลินและเบาหวานชนิดที่ 2 แม้ว่าเบาหวานชนิดที่ 2 จะเป็นโรคที่ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนด้วยการวัดระดับน้ำตาลในเลือด แต่เขาเห็นว่าเป็นจุดสุดท้ายของเส้นทางรถไฟที่ได้หยุดที่สถานีอื่นๆ มาแล้ว เช่น ภาวะอินซูลินสูง ภาวะก่อนเบาหวาน และ NAFLD/NASH หากคุณอยู่ในเส้นทางนี้ ไม่ว่าจะเป็นระยะเริ่มต้นของ NAFLD/NASH คุณก็มีแนวโน้มที่จะเดินทางไปสู่ "สี่อาชาของวาระสุดท้ายแห่งความชรา" อื่นๆ ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง และอัลไซเมอร์ ความผิดปกติทางเมตาบอลิกเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเหล่านี้อย่างมาก5. อธิบายอุปมาของ "อ่างอาบน้ำที่เต็ม" ที่ผู้เขียนใช้เพื่ออธิบายการจัดเก็บไขมันส่วนเกินในร่างกาย? ผู้เขียนใช้อุปมาของ "อ่างอาบน้ำที่เต็ม" เพื่ออธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเรารับพลังงานมากกว่าที่เราต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราใช้พลังงานที่เก็บไว้น้อย อุปมานี้เปรียบเทียบความสามารถในการจัดเก็บไขมันใต้ผิวหนังของเรากับอ่างอาบน้ำ เมื่ออ่างอาบน้ำ เต็ม และน้ำ ยังคงไหลเข้ามา น้ำจะ "ล้น" และไหลไปยังที่อื่น ๆ ในร่างกาย เช่น เข้าสู่กระแสเลือด หรือเข้าไปในตับ เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ และแม้กระทั่งรอบหัวใจและตับอ่อน บริเวณเหล่านี้ไม่เหมาะสำหรับการสะสมไขมันและนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพ6. ผู้เขียนเน้นย้ำถึงความสำคัญของการออกกำลังกายเพื่อการมีอายุยืนยาวอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและ VO2max? ผู้เขียนวิพากษ์วิจารณ์แนวทางการแพทย์แบบดั้งเดิมว่าละเลยความสำคัญของการออกกำลังกาย เขากล่าวว่าการออกกำลังกาย โดยเฉพาะการฝึกความแข็งแรงและคาร์ดิโอ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพมากกว่ายาหลายชนิดในการป้องกันและรักษาโรคเรื้อรัง เขาเน้นย้ำถึงการวัดเช่น ความแข็งแรงของมือ ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างแข็งแกร่
2025-05-13
16 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Phychology of Money (Morgan Housel) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Phychology of Money เขียนโดย Morgan Housel - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/PhychologyofMoney - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/PhychologyofMoney - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B084HJSJJ2?tag=9natree-20 #PhychologyofMoney #รีวิวPhychologyofMoney #สรุปPhychologyofMoney #หนังสือPhychologyofMoney 1.ประสบการณ์ส่วนตัวมีอิทธิพลต่อทัศนคติทางการเงินของเราอย่างไร แหล่งข้อมูลเน้นย้ำว่าประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับเงิน ไม่ว่าจะเป็นรายได้ของครอบครัว ค่านิยมทางวัฒนธรรม หรือสภาพเศรษฐกิจ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดวิธีคิดและพฤติกรรมของเราเกี่ยวกับเงิน มากกว่าความฉลาดหรือระดับการศึกษา สิ่งที่เราได้สัมผัสโดยตรงนั้นทรงพลังมากกว่าสิ่งที่เราได้ยินมา การที่แต่ละคนมีชีวิตที่แตกต่างกัน ทำให้มุมมองเกี่ยวกับเงินแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ดูบ้าสำหรับคนหนึ่ง อาจสมเหตุสมผลสำหรับอีกคนหนึ่ง เพราะพวกเขามีแบบจำลองทางจิตที่แตกต่างกันในการทำความเข้าใจโลก 2.การขาดความพอเพียงสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ทางการเงินที่เป็นอันตรายได้อย่างไร แหล่งข้อมูลชี้ให้เห็นถึงอันตรายของการไม่มีความพอเพียง โดยยกตัวอย่างบุคคลที่ประสบความสำเร็จมหาศาลแต่ก็ยังต้องการ "มากกว่า" แม้จะมีทรัพย์สินมากมาย ชื่อเสียง และอำนาจ พวกเขายังคงเสี่ยงสิ่งที่พวกเขามีและต้องการเพื่อสิ่งที่พวกเขาไม่มีและไม่ต้องการ นี่เป็นสิ่งที่ "โง่เขลาอย่างยิ่ง" การไม่สามารถปฏิเสธศักยภาพในการได้รับเงินเพิ่มขึ้นในที่สุดจะส่งผลเสีย ซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่เป็นอาชญากรรมหรือการตัดสินใจลงทุนที่ก่อให้เกิดความหายนะ 3.อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว? แหล่งข้อมูลเน้นย้ำว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับความสำเร็จในการลงทุนคือ ความอยู่รอด และ อายุยืน การลงทุนอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลานาน ทำให้ผลตอบแทนแบบทบต้นทำงานได้อย่างมหัศจรรย์ การหลีกเลี่ยงหนี้ ไม่ตื่นตระหนกและขายหุ้นในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย การรักษาชื่อเสียงทางธุรกิจ และการไม่ติดอยู่กับกลยุทธ์เดียวหรือแนวโน้มที่ผ่านมา ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการมีชีวิตรอดและอยู่รอดได้นานพอเพื่อให้การลงทุนเติบโต 4.ทำไมเราควรเป็นคน "สมเหตุสมผล" มากกว่า "สมเหตุสมผลทางคณิตศาสตร์" ในการตัดสินใจทางการเงิน? แหล่งข้อมูลแนะนำว่าการตัดสินใจทางการเงินไม่ควรขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ที่เหมาะสมทางคณิตศาสตร์เสมอไป แต่ควรเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้เรา "นอนหลับได้ดีในเวลากลางคืน" การเป็นคนสมเหตุสมผลคือการคำนึงถึงปัจจัยทางสังคมและอารมณ์นอกเหนือจากตัวเลข เช่น ความปรารถนาที่จะไม่ทำให้คู่สมรสผิดหวัง หรือถูกตัดสินโดยเพื่อนร่วมงาน การตัดสินใจลงทุนที่ดูไม่สมเหตุสมผลทางทฤษฎี อาจเป็นสมเหตุสมผลหากช่วยให้คุณรู้สึกสบายใจและปฏิบัติตามแผนการลงทุนระยะยาวโดยรวม 5.บทบาทของโชคและความเสี่ยงต่อความสำเร็จทางการเงินคืออะไร? แหล่งข้อมูลเน้นย้ำว่าโชคและความเสี่ยงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จทางการเงิน ซึ่งมักถูกมองข้ามได้ยาก ตัวอย่างเช่น Bill Gates ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลส่วนหนึ่งมาจาก "โชคหนึ่งในล้าน" ในการเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีคอมพิวเตอร์ขั้นสูง ในขณะที่เพื่อนที่เก่งพอๆ กันต้องเผชิญกับ "ความเสี่ยงหนึ่งในล้าน" จากอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด การรับรู้ถึงอิทธิพลของโชคและความเสี่ยงช่วยให้เราตัดสินความสำเร็จทางการเงินของตนเองและผู้อื่นได้ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น ว่ามัน "ไม่เคยดีหรือแย่เท่าที่เห็น" 6.อะไรคือความแตกต่างระหว่าง "ร่ำรวย" และ "มั่งคั่ง" และทำไมจึงสำคัญ? แหล่งข้อมูลแยกแยะระหว่างการเป็น "ร่ำรวย" และ "มั่งคั่ง" การเป็นคนร่ำรวยมักเกี่ยวข้องกับการใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อสิ่งของหรูหราเพื่อแสดงให้ผู้อื่นเห็นถึงสถานะของคุณ อย่างไรก็ตาม การเป็นคนมั่งคั่งคือการไม่ใช้เงินที่คุณมี การออมเงินคือช่องว่างระหว่างอีโก้กับรายได้ของคุณ และความมั่งคั่งคือสิ่งที่คุณมองไม่เห็น ความมั่งคั่งสร้างขึ้นโดยการระงับสิ่งที่คุณสามารถซื้อได้ในวันนี้ เพื่อให้มีสิ่งของหรือทางเลือกมากขึ้นในอนาคต 7.ทำไมการคาดการณ์ทางการเงินตามประวัติศาสตร์จึงเป็นปัญหา? แหล่งข้อมูลเตือนว่าประวัติศาสตร์ไม่ใช่แผนที่สำหรับอนาคต แม้ว่าประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและการลงทุนจะมีประโยชน์ในการปรับความคาดหวังของเราและระบุแนวโน้มทั่วไป แต่โลกก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งในด้านวัฒนธรรม เทคโนโลยี และบรรทัดฐานทางสังคม กลยุทธ์ที่เคยใช้ได้ผลในอดีตอาจไม่เกี่ยวข้องอีกต่อไป การยึดติดกับการวิเคราะห์เชิงรายละเอียดตามประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียวอาจ
2025-05-13
11 min
9Natree Thailand
[รีวิว] The Anxious Generation (Jonathan Haidt) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ The Anxious Generation เขียนโดย Jonathan Haidt - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TheAnxiousGeneration - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TheAnxiousGeneration - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0C9F37G28?tag=9natree-20 #TheAnxiousGeneration #รีวิวTheAnxiousGeneration #สรุปTheAnxiousGeneration #หนังสือTheAnxiousGeneration 1.อะไรคือ "การ Rewiring ครั้งใหญ่ในวัยเด็ก" และ "วัยที่วิตกกังวล"? หนังสือเล่มนี้ใช้คำว่า "การ Rewiring ครั้งใหญ่ในวัยเด็ก" เพื่ออธิบายการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวัยเด็กและวัยรุ่น ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ "วัยเด็กที่ใช้โทรศัพท์เป็นหลัก" เมื่อเด็ก ๆ ใช้เวลากับหน้าจอมากขึ้น และใช้เวลานอกบ้าน การเล่นอิสระ และการมีปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวน้อยลง การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสาเหตุหลักที่นำไปสู่ "วัยที่วิตกกังวล" หมายถึงการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของปัญหาสุขภาพจิต เช่น วิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าในหมู่เยาวชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Generation Z ผู้เขียนเปรียบเทียบการเติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้กับ "การเติบโตบนดาวอังคาร" ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่แตกต่างและท้าทายอย่างมากสำหรับพัฒนาการของเด็ก 2.การเพิ่มขึ้นของความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าในหมู่เยาวชนมีหลักฐานอย่างไรบ้าง? แหล่งข้อมูลระบุว่ามีหลักฐานมากมายที่ชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าในหมู่เยาวชน ตัวอย่างเช่น มีการกล่าวถึงการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของปัญหาสุขภาพจิตเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กผู้หญิงและวัยรุ่น นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงอาการของภาวะซึมเศร้าที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงอารมณ์ซึมเศร้าและการสูญเสียความสนใจหรือความสุขในกิจกรรมส่วนใหญ่ การเพิ่มขึ้นนี้เชื่อมโยงกับการใช้เวลากับโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กผู้หญิง 3.เหตุใดจึงกล่าวว่าเด็กผู้หญิงมีความเสี่ยงต่อผลกระทบเชิงลบจากโซเชียลมีเดียมากกว่าเด็กผู้ชาย? แหล่งข้อมูลอธิบายว่าเด็กผู้หญิงมีความเสี่ยงต่อผลกระทบเชิงลบจากโซเชียลมีเดียมากกว่าเด็กผู้ชายด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรก การรุกรานในเด็กผู้หญิงมักจะเน้นไปที่ความสัมพันธ์มากกว่า หมายถึงการทำร้ายผู้อื่นด้วยการนินทา ทำให้เพื่อนหันหลังให้ หรือลดคุณค่าของผู้อื่นในฐานะเพื่อน โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการรุกรานประเภทนี้ นอกจากนี้ เด็กผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะแบ่งปันอารมณ์และความผิดปกติได้ง่ายขึ้น ซึ่งหมายความว่าความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าสามารถแพร่กระจายผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว ประการสุดท้าย โซเชียลมีเดียส่งเสริมการเปรียบเทียบทางสังคมและความสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการใช้ฟิลเตอร์ความงาม ซึ่งทำให้เด็กผู้หญิงรู้สึกแย่กับรูปลักษณ์ของตนเองและเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง 4.บทบาทของการเล่นและประสบการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริงมีต่อพัฒนาการของเด็กอย่างไร? แหล่งข้อมูลเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเล่นและประสบการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริงสำหรับพัฒนาการของเด็ก การเล่นอิสระโดยปราศจากการดูแลของผู้ใหญ่มากเกินไป ช่วยให้เด็กพัฒนาความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยง แก้ไขปัญหา และสร้างความสัมพันธ์ การขาดการเล่นอิสระและการใช้เวลากลางแจ้งน้อยลง ทำให้เด็กขาดโอกาสในการพัฒนา "ระบบภูมิคุ้มกันทางจิตวิทยา" ซึ่งจำเป็นสำหรับการรับมือกับความเครียดและความท้าทายในชีวิต นอกจากนี้ ประสบการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริง เช่น การใช้เวลากับเพื่อนแบบตัวต่อตัว การทำงาน และการรับผิดชอบ ช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นผู้ใหญ่ 5.พัฒนาการของสมองและช่วงวัยที่อ่อนไหว เกี่ยวข้องกับผลกระทบของสภาพแวดล้อมอย่างไร? แหล่งข้อมูลกล่าวถึงพัฒนาการของสมองและช่วงวัยที่อ่อนไหว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สมองกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและมีความยืดหยุ่นสูงต่ออิทธิพลจากสภาพแวดล้อม วัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่อ่อนไหวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ "การเรียนรู้ทางสังคม" และ "ระบบความหมายทางวัฒนธรรม" การสัมผัสกับสภาพแวดล้อมแบบ "โทรศัพท์เป็นหลัก" ในช่วงเวลานี้สามารถมีผลกระทบอย่างมากต่อโครงสร้างและฟังก์ชันของสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้รางวัล การควบคุมสมาธิ และการประมวลผลข้อมูลทางสังคม 6."โหมดการค้นหา" และ "โหมดการป้องกัน" คืออะไร และเกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตอย่างไร? แหล่งข้อมูลอธิบายถึงสองระบบของสมอง: ระบบการกระตุ้นพฤติกรรม หรือเรียกว่า "โหมดการค้นหา" ซึ่งทำงานเมื่อตรวจพบโอกาส และระบบการยับยั้งพฤติกรรม หรือเรียกว่า "โหมดการป้องกัน"
2025-05-12
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] The Almanackof Naval Ravikant (Eric Jorgenson) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ The Almanackof Naval Ravikant เขียนโดย Eric Jorgenson - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TheAlmanackofNavalRavikant - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TheAlmanackofNavalRavikant - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B08FF8MTM6?tag=9natree-20 #TheAlmanackofNavalRavikant #รีวิวTheAlmanackofNavalRavikant #สรุปTheAlmanackofNavalRavikant #หนังสือTheAlmanackofNavalRavikant 1. ความหมายของ "ความมั่งคั่ง" ตามมุมมองของ Naval Ravikant คืออะไร? Naval Ravikant นิยามความมั่งคั่งว่าคือการมีความมั่งคั่งที่สร้างรายได้ให้กับคุณ ไม่ใช่เพียงแค่มีเงินสดจำนวนมาก ความมั่งคั่งที่แท้จริงนั้นมาจากทรัพย์สินที่สามารถทำงานให้คุณได้ เช่น การมีหุ้นในธุรกิจ ซึ่งแตกต่างจากการมีรายได้จากการทำงานประจำ เขาเน้นว่าเป้าหมายคือการทำให้เงินทำงานให้คุณ ไม่ใช่การใช้เวลาของคุณเพื่อหาเงิน ความมั่งคั่งคือสิ่งที่ยังคงสร้างรายได้หรือคุณค่าต่อไปแม้ว่าคุณจะไม่ได้ใช้แรงหรือเวลาโดยตรง2. แนวคิด "Productize Yourself" มีความหมายอย่างไรและเชื่อมโยงกับความมั่งคั่งอย่างไร? "Productize Yourself" คือการรวมแนวคิด "Yourself" ซึ่งหมายถึงความเป็นตัวคุณ ความเป็นเอกลักษณ์ และความรับผิดชอบ เข้ากับแนวคิด "Productize" ซึ่งหมายถึงการใช้ประโยชน์จากความรู้เฉพาะตัว และการสร้างสิ่งที่สามารถทำซ้ำได้โดยมีต้นทุนส่วนเพิ่มเป็นศูนย์ การ Productize Yourself หมายถึงการค้นพบสิ่งที่แท้จริงของคุณ การใช้ความรู้เฉพาะตัวที่คุณมี และการหาทางขยายผล สิ่งนั้นออกไป ไม่ว่าจะเป็นผ่านทุน ผู้คน หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำซ้ำได้ง่าย เช่น โค้ดหรือสื่อ นี่คือหนทางในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว โดยอาศัยการผสมผสานระหว่างความเป็นตัวตนที่แท้จริง ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และการใช้ประโยชน์3. "ความรู้เฉพาะตัว" คืออะไร และจะสร้างและพัฒนาได้อย่างไร? ความรู้เฉพาะตัวคือสิ่งที่สังคมยังไม่สามารถฝึกอบรมคนอื่นได้อย่างง่ายดาย หรือเป็นสิ่งที่ยากที่จะคัดลอกได้ มักเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับความสนใจและความถนัดตามธรรมชาติของคุณ ซึ่งดูเหมือน "การเล่น" สำหรับคุณ แต่ดูเหมือน "การทำงาน" สำหรับผู้อื่น Naval ชี้ให้เห็นว่าความรู้เฉพาะตัวนี้อาจรวมถึงทักษะด้านการขาย การวิเคราะห์ การแก้ปัญหา หรือแม้แต่ความสามารถในการซึมซับและแยกแยะข้อมูล วิธีสร้างและพัฒนาความรู้เฉพาะตัวคือการค้นหาสิ่งที่คุณสนใจจริงๆ และลงมือทำมันอย่างลึกซึ้ง การอ่าน การสังเกต และการฝึกฝนในสิ่งที่คุณหลงใหลจะช่วยพัฒนาความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวนี้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่โอกาสและความมั่งคั่ง4. บทบาทของ "Leverage" ในการสร้างความมั่งคั่งคืออะไร? Leverage หรือการใช้ประโยชน์ คือการใช้ตัวคูณเพิ่มให้กับวิจารณญาณของคุณ Naval ระบุว่า Leverage มีสามรูปแบบหลัก ได้แก่: ทุน : เงินที่สามารถลงทุนในธุรกิจหรือโครงการเพื่อสร้างผลตอบแทน ผู้คน : การมีคนทำงานให้คุณ ซึ่งเป็นรูปแบบ Leverage ที่เก่าแก่ที่สุด ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการทำซ้ำ : สิ่งต่างๆ เช่น โค้ด และสื่อ ซึ่งสามารถเข้าถึงผู้คนจำนวนมากได้โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจำนวนมากในการผลิตแต่ละหน่วย การใช้ Leverage ช่วยให้คุณสามารถขยายผลกระทบและความมั่งคั่งของคุณได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Leverage ที่มาจากโค้ดและสื่อ5. Naval Ravikant นิยาม "ความสุข" อย่างไร และคิดว่าความสุขเป็นสิ่งที่ควบคุมได้หรือไม่? Naval Ravikant นิยามความสุขว่าเป็น "สภาวะเริ่มต้น" ที่มีอยู่เมื่อคุณขจัดความรู้สึกว่ามีบางสิ่งขาดหายไปในชีวิต ความสุขไม่ใช่การมีแต่ความคิดเชิงบวกหรือเชิงลบ แต่เป็นการไม่มีความปรารถนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความปรารถนาในสิ่งภายนอก เมื่อคุณไม่รู้สึกขาดหาย จิตใจจะสงบและไม่วิ่งไปมาในอดีตหรืออนาคต เขาเชื่อว่าความสุขคือ "ความสงบ" และเป็นทักษะที่สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้ เช่นเดียวกับทักษะด้านอื่นๆ ในชีวิต6. จะพัฒนา "วิจารณญาณ" ได้อย่างไร และทำไมจึงสำคัญต่อความมั่งคั่งและความสำเร็จ? วิจารณญาณคือความสามารถในการตัดสินใจที่ดี ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์ แต่สามารถพัฒนาได้เร็วขึ้นโดยการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานและแบบจำลองทางความคิด Naval แนะนำให้ศึกษา microeconomics, game theory, psychology, persuasion, ethics, mathematics และ computer science นอกจากนี้ การอ่านหนังสือดีๆ การสังเกตโลกอย่างมีสติ และการสะสมแบบจำลองทางความคิดจากแหล่งต่างๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญ วิจารณญาณเป็นตัวคูณสำคัญสำหรับ Leverage และช่วยให้คุณตัดสินใจที่นำไปสู่โอกาสและความมั่งคั่งในระยะยาว7. การอ่านห
2025-05-12
07 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Atomic Habits (James Clear) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Atomic Habits เขียนโดย James Clear - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/AtomicHabits - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/AtomicHabits - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B07D23CFGR?tag=9natree-20 #AtomicHabits #รีวิวAtomicHabits #สรุปAtomicHabits #หนังสือAtomicHabits Atomic Habits คืออะไร? Atomic Habits โดย James Clear เป็นหนังสือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงชีวิตด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ แทนที่จะคิดใหญ่ Clear เสนอว่าการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงมาจากการสะสมผลของการตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ หลายร้อยอย่าง เช่น การวิดพื้นสองครั้งต่อวัน การตื่นนอนเร็วขึ้นห้านาที หรือการโทรศัพท์สั้นๆ เพียงครั้งเดียว เขาเรียกการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ว่า "Atomic Habits" หรือนิสัยอะตอม ซึ่งสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตได้อย่างมาก แนวคิดหลักของหนังสือ Atomic Habits คืออะไร? แนวคิดหลักของ Atomic Habits คือการแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในพฤติกรรมของคุณสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตได้อย่างไร หนังสืออธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงขนาดเล็กเหล่านี้มีผลกระทบแบบทบต้นเมื่อทำซ้ำๆ ในระยะเวลาหนึ่ง James Clear นำเสนอเทคนิคต่างๆ เช่น การวางนิสัย , กฎสองนาที และโซนโกลดิล็อกส์ พร้อมทั้งอ้างอิงจิตวิทยาและประสาทวิทยาเพื่ออธิบายความสำคัญของนิสัยเหล่านี้ ทำไมการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ จึงมีพลังมากตามแนวคิดของ Atomic Habits? ตามแนวคิดของ Atomic Habits การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ มีพลังมากเพราะมันมีผลกระทบแบบทบต้น เหมือนกับการลงทุนทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนทบต้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ อย่างสม่ำเสมอจะสะสมและขยายตัวเมื่อเวลาผ่านไป นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและปฏิวัติชีวิตในด้านต่างๆ เช่น การงาน ความสัมพันธ์ และความเป็นอยู่โดยรวม หนังสือ Atomic Habits มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรบ้าง? หนังสือ Atomic Habits มีเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีที่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในพฤติกรรมสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตได้อย่างมหาศาล James Clear อธิบายแนวคิดและเทคนิคต่างๆ ในการสร้างและรักษานิสัยที่ดี พร้อมทั้งยกตัวอย่างเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจจากบุคคลที่ประสบความสำเร็จ เช่น นักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิก ซีอีโอชั้นนำ และนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งใช้หลักการของนิสัยเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สร้างแรงจูงใจ และมีความสุข ใครคือกลุ่มเป้าหมายของหนังสือ Atomic Habits? Atomic Habits เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตด้วยการปรับปรุงพฤติกรรมและสร้างนิสัยที่ดีขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นนักกีฬา นักธุรกิจ นักวิทยาศาสตร์ หรือใครก็ตามที่ต้องการพัฒนาตนเอง หนังสือเล่มนี้มีแนวทางที่ใช้งานได้จริงและมีพื้นฐานมาจากวิทยาศาสตร์ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับคนทุกกลุ่ม
2025-05-12
08 min
9Natree Thailand
[รีวิว] The Price of Tomorrow (Jeff Booth) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ The Price of Tomorrow เขียนโดย Jeff Booth - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/ThePriceofTomorrow - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/ThePriceofTomorrow - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B08334WFSQ?tag=9natree-20 #ThePriceofTomorrow #รีวิวThePriceofTomorrow #สรุปThePriceofTomorrow #หนังสือThePriceofTomorrow 1.เทคโนโลยีเป็นแรงผลักดันให้เกิดภาวะเงินฝืดในระบบเศรษฐกิจโลกที่อิงกับอัตราเงินเฟ้ออย่างไร? แหล่งข้อมูลเน้นย้ำว่าเทคโนโลยีเป็น "พลังเงินฝืดมหาศาล" เนื่องจากสามารถลดต้นทุนการผลิต การจัดจำหน่าย และสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งขัดแย้งโดยตรงกับรูปแบบเศรษฐกิจที่อิงกับอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งออกแบบมาให้หนี้สินสามารถชำระคืนได้ง่ายขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปผ่านการลดมูลค่าของเงิน การเติบโตแบบก้าวกระโดดของเทคโนโลยีหมายความว่าสินค้าและบริการมีราคาถูกลงและมีคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ระบบเศรษฐกิจของเราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการเติบโตและเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง ความตึงเครียดนี้ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันของความมั่งคั่งและความแตกแยกทางสังคม เมื่อความพยายามในการสร้างเงินเฟ้อไม่สามารถต้านทานแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดของเทคโนโลยีได้อีกต่อไป 2.การขยายตัวของหนี้สินทั่วโลกมีความเชื่อมโยงกับภาวะเงินฝืดที่เกิดจากเทคโนโลยีอย่างไร? แหล่งข้อมูลชี้ว่าหนี้สินทั่วโลกได้ขยายตัวขึ้นอย่างมากตั้งแต่ปี 2000 เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม หนี้สินเมื่อรวมกับภาวะเงินฝืดจะกลายเป็นส่วนผสมที่ "เป็นพิษ" เนื่องจากผู้กู้ต้องจ่ายดอกเบี้ยเท่าเดิมในขณะที่รายได้ลดลง ทำให้มูลค่าจริงของหนี้เพิ่มขึ้นและมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น การที่ภาวะเงินฝืดที่เกิดจากเทคโนโลยีทำให้สินค้าและบริการถูกลงและต้องการแรงงานน้อยลง ยิ่งทำให้การสร้างรายได้ที่เพียงพอต่อการชำระหนี้ในระบบที่มีหนี้สินสูงเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น 3.ทำไมผู้กำหนดนโยบายจึงมีแนวโน้มที่จะใช้การพิมพ์เงินเพื่อแก้ไขวิกฤตหนี้? ตามงานวิจัยของ Ray Dalio ที่อ้างถึงในแหล่งข้อมูล ผู้กำหนดนโยบายมีทางเลือกสี่ทางในการลดระดับหนี้และอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ การลดค่าใช้จ่าย การผิดนัดชำระหนี้/การปรับโครงสร้างหนี้ การพิมพ์เงิน และการโอนเงินจากผู้มีมากไปสู่ผู้มีน้อย Dalio สรุปและผู้เขียนเห็นด้วยว่า "ผู้กำหนดนโยบายมักจะพิมพ์เงิน" เสมอ เพราะมาตรการเข้มงวดทำให้เกิดความเจ็บปวดมากกว่าประโยชน์ การปรับโครงสร้างหนี้ครั้งใหญ่ทำลายความมั่งคั่งเร็วเกินไป และการโอนความมั่งคั่งไม่เกิดขึ้นในขนาดที่เพียงพอหากไม่มีการปฏิวัติ การพิมพ์เงินถือเป็นวิธี "เตะปัญหานี้ออกไปอีกครั้ง" แม้ว่าผู้เขียนจะโต้แย้งว่าวิธีนี้จะไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องในครั้งนี้และจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงเท่านั้น 4.แนวคิดของ "การทำลายสรรค์สร้าง" ของ Joseph Schumpeter มีความสำคัญอย่างไรในบริบทของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี? การทำลายสรรค์สร้าง คือกระบวนการที่ผู้ประกอบการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่ disrupt การผูกขาดเดิมและสร้างการผูกขาดใหม่ขึ้นมา ซึ่งขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระบบทุนนิยม แหล่งข้อมูลระบุว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเร่งกระบวนการนี้ ทำให้บริษัทเดิมที่ไม่ได้ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงมีมูลค่าลดลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนโต้แย้งว่าในปัจจุบัน การผูกขาดไม่ได้จำกัดอยู่แค่ธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง แต่เป็น "ระบบเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันทั้งหมดของเรา" และ "อคติเงินเฟ้อของเรา" ซึ่งกำลังเผชิญกับการทำลายสรรค์สร้างจากแรงกดดันภาวะเงินฝืดของเทคโนโลยี 5."ช่วงเวลา Minsky" คืออะไร และเกี่ยวข้องกับความเชื่อของผู้เขียนเกี่ยวกับบทบาทของรัฐบาลอย่างไร? ช่วงเวลา Minsky คือจุดพลิกผันที่ฟองสบู่สินทรัพย์ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยหนี้สินพังทลายลง ทำให้สินทรัพย์ขายได้ยากในทุกราคาและตลาดล่มสลาย Hyman Minsky นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่ารัฐบาลจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้กู้ยืมสุดท้ายและช่วยเหลือตลาดเสมอเมื่อเผชิญกับการล่มสลายของระบบ แม้ว่าพวกเขาจะประกาศใช้กฎตลาดเสรีก็ตาม ผู้เขียนอ้างถึงแนวคิดนี้ โดยระบุว่า Minsky ตระหนักดีว่าการดำเนินการของรัฐบาลจะทำให้กระบวนการสร้างหนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเปิดโอกาสให้นำเครื่องมือใหม่ๆ มาใช้ ซึ่งสอดคล้องกับข้อโต้แย้งของผู้เขียนที่ว่าผู้กำหนดนโยบายจะเลือกที่จะพิมพ์เงินเพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดระยะสั้น 6.กฎของมัวร์และความคิดแบบก้าวกระโดด อธิบายแรงกดดันภาวะเงินฝืดของเทคโนโลยีได้อย่างไร? กฎของมัวร์ ซึ่งระบุว่าจำนวนทรานซิสเตอร์บนแผงวงจรพิมพ์จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆ ประมาณ 18 เดือน ท
2025-05-12
08 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Manifest Dive Deeper (Roxie Nafousi) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Manifest Dive Deeper เขียนโดย Roxie Nafousi - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/ManifestDiveDeeper - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/ManifestDiveDeeper - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0B45LHS3V?tag=9natree-20 #ManifestDiveDeeper #รีวิวManifestDiveDeeper #สรุปManifestDiveDeeper #หนังสือManifestDiveDeeper 1. การดึงดูด คืออะไร และมันทำงานอย่างไร? การดึงดูดถูกนิยามว่าเป็นความสามารถในการใช้พลังของจิตใจเพื่อเปลี่ยนแปลงและสร้างความเป็นจริงที่เราสัมผัส มันเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อการพัฒนาตนเอง การดึงดูดไม่ได้เป็นเรื่องลึกลับหรือล่องลอยอย่างที่บางคนคิด แต่เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา ซึ่งผู้เขียนเรียกว่า "จักรวาล" การดึงดูดความอุดมสมบูรณ์เข้ามาในชีวิตของเราไม่ได้มาจากความคิดในระดับจิตสำนึกเพียงอย่างเดียว แต่มาจากความเชื่อในระดับจิตใต้สำนึกเกี่ยวกับสิ่งที่เราคู่ควรและจากคุณค่าในตนเองของเรา การดึงดูดไม่ใช่แค่การดึงดูด "สิ่งของ" เข้ามาในชีวิต แต่ยังรวมถึงการดึงดูดความรู้สึกที่เราต้องการให้ชีวิตของเราเต็มไปด้วย2. ขั้นตอนสำคัญในการดึงดูดมีอะไรบ้าง? การดึงดูดมีเจ็ดขั้นตอนหลัก แต่ละขั้นตอนเสริมและสนับสนุนซึ่งกันและกัน: กำหนดวิสัยทัศน์ให้ชัดเจน: ตัดสินใจว่าคุณต้องการอะไรจริงๆ ได้รับความชัดเจนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องการดึงดูด การเป็นคนคลุมเครือไม่เพียงพอ ยิ่งมีรายละเอียดมากเท่าไหร่ยิ่งดี ถ้าคุณไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไร ให้คิดว่าคุณอยากให้ชีวิตของคุณรู้สึกอย่างไร ขจัดความกลัวและความสงสัย: การดึงดูดไม่ได้มาจากความคิดในระดับจิตสำนึกเพียงอย่างเดียว แต่จากความเชื่อในระดับจิตใต้สำนึกเกี่ยวกับสิ่งที่เราคู่ควรและจากคุณค่าในตนเองของเรา ความกลัวและความสงสัยมักจะปลอมแปลงตัวเป็นเพื่อนที่พยายามปกป้องคุณจากความผิดหวังที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในความเป็นจริง พวกมันกำลังขัดขวางคุณจากการปลดล็อกความอุดมสมบูรณ์ของจักรวาล ปรับพฤติกรรมของคุณให้สอดคล้อง: เพื่อสร้างความเป็นจริงที่คุณต้องการ คุณต้องปรับความคิด ความตั้งใจ และการกระทำของคุณให้สอดคล้องกับความเป็นจริงนั้น คุณไม่จำเป็นต้องนิยามตัวเองด้วยบุคคลที่คุณเคยเป็น ปล่อยวางส่วนต่างๆ ของคุณที่ไม่ได้ให้บริการคุณอีกต่อไปและไม่สอดคล้องกับตัวตนที่สูงที่สุดและมีพลังมากที่สุดของคุณ เอาชนะการทดสอบจากจักรวาล: การทดสอบเหล่านี้มักจะทำให้คุณต้องก้าวออกจากโซนสบายของคุณ คำถามสำคัญที่คุณต้องถามตัวเองคือคุณเชื่อในตัวเองมากแค่ไหน คุณค่าในตนเองของคุณคืออะไร การทดสอบเหล่านี้ถามว่าคุณเชื่อว่าคุณคู่ควรกับสิ่งที่คุณปรารถนาแค่ไหน ยอมรับความกตัญญู : ความกตัญญูเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดล็อกประตูแห่งความอุดมสมบูรณ์ในชีวิตของเรา การรู้สึกขอบคุณช่วยเพิ่มความถี่ในการสั่นสะเทือนของเราในทันที และทำให้เราเป็นแม่เหล็กดึงดูดปาฏิหาริย์เข้ามาในชีวิต เปลี่ยนความอิจฉาให้เป็นแรงบันดาลใจ: ความอิจฉาเป็นอารมณ์ที่ซับซ้อน ซึ่งบ่อยครั้งเราปฏิเสธหรือซ่อนไว้ แต่ที่จริงแล้วความอิจฉาเป็นเครื่องมือที่มีพลังในการเดินทางสู่การดึงดูดของเรา เมื่อเรารู้สึกอิจฉาคนอื่น นั่นไม่ได้เกี่ยวกับพวกเขา แต่เกี่ยวกับความกลัวและความรู้สึกขาดแคลนของเราเอง เชื่อมั่นในจักรวาล: การดึงดูดคือการส่งคำขอไปสู่จักรวาลและเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าจะนำสิ่งนั้นมาให้เรา โดยไม่เหลือพื้นที่สำหรับความสงสัยหรือความไม่แน่นอน เราต้องปลูกฝังศรัทธาและความไว้วางใจอย่างเต็มที่ในจักรวาล และปล่อยให้ความมั่นใจอันน่าดึงดูดนั้นขับเคลื่อนพลังการดึงดูดของเรา3. ทำไมการกำหนดวิสัยทัศน์ให้ชัดเจนจึงสำคัญในการดึงดูด? คุณไม่สามารถไปถึงที่ที่คุณต้องการไปได้ หากคุณไม่รู้ว่ากำลังจะไปที่ไหน ดังนั้น ก่อนอื่นใด คุณต้องตัดสินใจว่าคุณต้องการอะไรจริงๆ คุณต้องพยายามทำความเข้าใจให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องการดึงดูด การเป็นคนคลุมเครือไม่เพียงพอ ยิ่งมีรายละเอียดมากเท่าไหร่ยิ่งดี การนึกภาพ เป็นเครื่องมือการดึงดูดที่มีพลัง ซึ่งจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น สิ่งนี้ได้รับการสนับสนุนโดยประสาทวิทยาศาสตร์ งานวิจัยพบว่าการนึกภาพเป้าหมายเป็นประจำจะช่วยให้จิตใต้สำนึกของคุณทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น4. ความกลัวและความสงสัยส่งผลต่อการดึงดูดอย่างไร? เราไม่ได้ดึงดูดจากความคิดในระดับจิตสำนึกเพียงอย่างเดียว แต่จากความเชื่อในระดับจิตใต้สำนึกเกี่ยวกับสิ่งที่เราคู่ควรและจากคุณค่าในตนเองของเรา ความกลัวและความสงสัยมักจะปลอมแปลงตัวเป็นเพื่อนที่พยายามปกป้องคุณจากความผิด
2025-05-12
08 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Never Split the Difference (Chris Voss, Tahl Raz) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Never Splitthe Difference เขียนโดย Chris Voss, Tahl Raz - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/NeverSplittheDifference - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/NeverSplittheDifference - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B014DUR7L2?tag=9natree-20 #NeverSplittheDifference #รีวิวNeverSplittheDifference #สรุปNeverSplittheDifference #หนังสือNeverSplittheDifference 1. การเจรจาแบบ "Never Split the Difference" แตกต่างจากการเจรจาแบบดั้งเดิมอย่างไร และทำไมจึงมีประสิทธิภาพ การเจรจาแบบ "Never Split the Difference" แตกต่างอย่างมากจากการเจรจาแบบดั้งเดิมที่เน้นการประนีประนอมแบบ "Win-Win" โดยแบบดั้งเดิมอาจนำไปสู่ข้อตกลงที่ต่างฝ่ายต่างเสียประโยชน์บางส่วน ในขณะที่แนวทางนี้ ซึ่งอิงจากประสบการณ์การเจรจาตัวประกันของ FBI มุ่งเน้นไปที่การ "ชนะ" อย่างสมบูรณ์ คือการได้ทุกสิ่งที่เราต้องการโดยไม่เสียสิ่งสำคัญไป ขณะเดียวกันก็สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่เจรจา แนวทางนี้มีประสิทธิภาพเพราะใช้อารมณ์และการเข้าใจจิตวิทยาเป็นเครื่องมือหลัก แทนที่จะเน้นตรรกะและการแบ่งปันแบบง่ายๆ ซึ่งมักไม่สะท้อนความต้องการที่แท้จริงของอีกฝ่าย การใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การสะท้อน การติดป้าย และการสร้างความรู้สึกปลอดภัย ทำให้คู่เจรจาเปิดใจและเผยข้อมูลที่จำเป็น ซึ่งนำไปสู่ข้อตกลงที่บรรลุเป้าหมายของเราได้โดยที่อีกฝ่ายรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมและได้ควบคุมสถานการณ์2. เทคนิค "การสะท้อน" ในการเจรจาคืออะไร และใช้งานอย่างไร การสะท้อน เป็นหนึ่งในเทคนิคพื้นฐานของการเจรจา เป็นเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์ ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยการทำซ้ำคำหลัก 1-3 คำสุดท้ายที่คู่เจรจาพูดออกมา การทำเช่นนี้เป็นการแสดงว่าเรากำลังตั้งใจฟังและสนใจสิ่งที่พวกเขาพูด ซึ่งช่วยให้คู่เจรจารู้สึกสบายใจ เปิดใจ และพูดคุยต่อไป เทคนิคนี้ต้องใช้ "ความเงียบทางยุทธวิธี" คือหลังจากสะท้อนคำพูดแล้ว เราต้องเงียบเพื่อให้คำพูดของเราได้ผลและกระตุ้นให้คู่เจรจาพูดมากขึ้น การสะท้อนที่ได้ผลคือการปล่อยให้มันทำงานโดยไม่ต้องพูดต่อทันที ตัวอย่างในข้อความคือเมื่อนักเจรจาถามโจรว่า "Is this you? Are you Chris Watts?" ซึ่งเป็นการพูดหลังจากสะท้อนคำตอบของโจร และทำให้โจรมีทางหลบเลี่ยงคำถามได้ การสะท้อนที่ดีควรกระตุ้นให้คู่เจรจาขยายความโดยที่เราไม่พูดแทรกทันที 3.ทำไมผู้เจรจาควรให้ความสำคัญกับคำว่า "ไม่" มากกว่าคำว่า "ใช่" ผู้เจรจาที่ดีควรให้ความสำคัญและแม้กระทั่งแสวงหาคำว่า "ไม่" เพราะคำนี้มักเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาที่แท้จริง ต่างจากคำว่า "ใช่" หรือ "อาจจะ" ที่อาจเป็นเพียงคำตอบปลอมๆ เพื่อยุติการสนทนาหรือเพื่อให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติม คำว่า "ไม่" ให้ความรู้สึกปลอดภัย การควบคุม และความเป็นอิสระแก่ผู้พูด เป็นการยืนยันว่าพวกเขายังไม่ได้ตกลง และมีเวลาในการพิจารณา ปรับเปลี่ยน และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ การได้ยินคำว่า "ไม่" ไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธเสมอไป แต่อาจหมายถึง "ฉันยังไม่พร้อมที่จะตกลง", "คุณกำลังทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจ", "ฉันไม่เข้าใจ", "ฉันไม่คิดว่าฉันจะสามารถจ่ายได้", "ฉันต้องการอย่างอื่น", "ฉันต้องการข้อมูลเพิ่มเติม" หรือ "ฉันอยากจะปรึกษากับคนอื่นก่อน" การยอมรับคำว่า "ไม่" และตอบสนองด้วยคำถามที่เน้นการแก้ปัญหาหรือการติดป้ายความรู้สึกของอีกฝ่าย จะช่วยลดอุปสรรคในการสื่อสารและนำไปสู่การค้นพบประเด็นที่แท้จริงซึ่งจำเป็นต่อการบรรลุข้อตกลงที่นำไปปฏิบัติได้จริง 4.คำว่า "That's right" มีความสำคัญอย่างไรในการเจรจา และแตกต่างจากคำว่า "You're right" อย่างไร คำว่า "That's right" เป็นสองคำที่ทรงพลังที่สุดในการเจรจา เมื่อคู่เจรจาพูดคำนี้ แสดงว่าพวกเขารู้สึกว่าเราเข้าใจสถานการณ์ ความต้องการ และความรู้สึกของพวกเขาอย่างแท้จริง เป็นการยืนยันว่าเราได้สรุปสิ่งที่พวกเขาพูดได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือการค้นพบความจริง คำนี้มักจะนำไปสู่ความเข้าใจเชิงลึกและเปิดเผยประเด็นที่ซ่อนอยู่ ในทางตรงกันข้าม คำว่า "You're right" มักเป็นการยอมจำนนหรือการบอกปัดอย่างผิวเผิน โดยที่คู่เจรจาอาจไม่ได้รู้สึกว่าเราเข้าใจจริงๆ คำนี้ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือการเปิดเผยข้อมูลที่ลึกซึ้งเหมือนกับ "That's right" ซึ่งเป็นการสะท้อนว่าการสรุปของเราตรงกับความเป็นจริงของพวกเขาอย่างแม่นยำ5. เทคนิค "การติดป้าย" คืออะไร และช่วยในการจัดการอารมณ์และเปิดเผยข้อมูลอย่างไร การติดป้าย คือการระบุและกล่าวถึงอารมณ์หรือสถานการณ์ที่เรารับรู้จากคู่เจรจาออก
2025-05-12
10 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Six Thinking Hats (Edward de Bono) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Six Thinking Hats เขียนโดย Edward de Bono - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/SixThinkingHats - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/SixThinkingHats - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0BNXRTNW2?tag=9natree-20 #SixThinkingHats #รีวิวSixThinkingHats #สรุปSixThinkingHats #หนังสือSixThinkingHats 1. Six Thinking Hats คืออะไร? Six Thinking Hats เป็นวิธีการคิดแบบคู่ขนาน ที่พัฒนาโดย Edward de Bono ซึ่งใช้วิธีการสวม "หมวก" สีต่างๆ เป็นสัญลักษณ์แทนทิศทางหรือโหมดการคิดที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้เข้าร่วมสามารถโฟกัสไปที่มุมมองเฉพาะอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ แทนที่จะใช้วิธีการถกเถียงแบบดั้งเดิมที่มักจะสร้างความขัดแย้ง2. หมวกแต่ละสีมีความหมายอย่างไร? หมวกแต่ละสีแสดงถึงทิศทางของการคิดดังนี้: หมวกสีขาว: เป็นกลางและเป็นกลาง วัตถุประสงค์คือการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และตัวเลข หมวกสีแดง: แสดงถึงอารมณ์และความรู้สึก หมวกสีแดงช่วยให้แสดงมุมมองทางอารมณ์ สัญชาตญาณ และความรู้สึกเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ได้โดยไม่ต้องมีเหตุผล หมวกสีดำ: เข้มงวดและระมัดระวัง หมวกสีดำเน้นข้อเสีย ความเสี่ยง ปัญหา และข้อผิดพลาดที่เป็นไปได้ ต้องมีเหตุผลเชิงตรรกะสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์ หมวกสีเหลือง: สว่างและเป็นบวก หมวกสีเหลืองเน้นประโยชน์ ค่านิยม โอกาส และการคิดสร้างสรรค์ที่เป็นไปได้ ต้องมีเหตุผลรองรับการมองโลกในแง่ดี หมวกสีเขียว: แสดงถึงการเติบโตและความคิดสร้างสรรค์ หมวกสีเขียวใช้เพื่อสร้างแนวคิดใหม่ๆ ทางเลือกต่างๆ และแนวทางใหม่ๆ ในการแก้ปัญหา รวมถึงการคิดนอกกรอบ หมวกสีน้ำเงิน: เหมือนท้องฟ้าด้านบน เป็นหมวกสำหรับการควบคุมและจัดการกระบวนการคิด หมวกสีน้ำเงินกำหนดวาระการประชุม กำหนดวัตถุประสงค์ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าการคิดเป็นไปตามเป้าหมาย3. Six Thinking Hats ช่วยปรับปรุงการประชุมและการคิดได้อย่างไร? วิธีการนี้ช่วยปรับปรุงการประชุมและการคิดได้หลายวิธี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง: ลดเวลาการประชุม: การโฟกัสไปที่ทิศทางของการคิดในแต่ละครั้งอย่างเป็นระบบ ช่วยให้การประชุมดำเนินไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังที่แสดงให้เห็นในตัวอย่างของบริษัทต่างๆ ที่ลดเวลาการประชุมลงอย่างมาก เพิ่มประสิทธิภาพการคิด: การแยกประเภทของการคิดออกจากกัน ช่วยให้ผู้เข้าร่วมทุกคนสามารถใช้ความรู้และประสบการณ์ของตนในทิศทางที่กำหนดได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเพิ่ม "ผลิตภาพทางความคิด" ลดความขัดแย้ง: การใช้วิธีการนี้ทำให้การวิพากษ์วิจารณ์ และการแสดงความรู้สึก สามารถทำได้อย่างเป็นกลางและเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ แทนที่จะเป็นการโจมตีส่วนตัว ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์: หมวกสีเขียวให้พื้นที่เฉพาะสำหรับการสร้างแนวคิดใหม่ๆ และการคิดนอกกรอบ ทำให้ความคิดสร้างสรรค์เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นทางการของกระบวนการคิด4. ควรใช้ Six Thinking Hats อย่างไรในทางปฏิบัติ? มีสองวิธีพื้นฐานในการใช้หมวก: การใช้หมวกเดี่ยว: ใช้หมวกแต่ละสีเป็นสัญลักษณ์เพื่อขอประเภทของการคิดที่เฉพาะเจาะจงในระหว่างการสนทนาหรือการประชุม ตัวอย่างเช่น "เราต้องการความคิดเห็นจากหมวกสีแดงเกี่ยวกับเรื่องนี้" การใช้หมวกแบบเรียงลำดับ: ใช้หมวกตามลำดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเพื่อสำรวจหัวข้อหรือแก้ปัญหา ตัวอย่างลำดับอาจรวมถึงการเริ่มต้นด้วยหมวกสีน้ำเงินเพื่อกำหนดเป้าหมาย จากนั้นใช้หมวกสีขาวเพื่อรวบรวมข้อมูล ตามด้วยหมวกสีเขียวเพื่อสร้างไอเดีย หมวกสีเหลืองเพื่อประเมินข้อดี หมวกสีดำเพื่อประเมินข้อเสีย และปิดท้ายด้วยหมวกสีน้ำเงินเพื่อสรุปและตัดสินใจ ลำดับสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม5. Six Thinking Hats เป็นการแบ่งประเภทของผู้คนหรือไม่? ไม่ใช่ Six Thinking Hats ไม่ใช่การแบ่งประเภทของผู้คน แต่เป็นโหมดพฤติกรรม ทุกคนควรสามารถสวม "หมวก" ทุกสีและคิดในทุกทิศทาง ไม่ควรมีใครถูกกำหนดว่าเป็น "คนหมวกดำ" หรือ "คนหมวกเขียว" ตลอดเวลา เป้าหมายคือให้ทุกคนฝึกฝนและพัฒนาทักษะการคิดในทุกรูปแบบ6. การใช้หมวกแบบคู่ขนานมีความสำคัญอย่างไร? การใช้หมวกแบบคู่ขนานหมายความว่าผู้เข้าร่วมทุกคนในกลุ่มสวม "หมวก" สีเดียวกันและคิดไปในทิศทางเดียวกันพร้อมกันในเวลาที่กำหนด ตัวอย่างเช่น เมื่อมีการขอความคิดแบบหมวกสีดำ ทุกคนจะโฟกัสไปที่ข้อเสียและความเสี่ยง นี่คือสิ่งที่ทำให้วิธีการนี้แตกต่างจากการมอบบทบาทเฉพาะให้กับบุคคลในการประชุม การคิดแบบคู่ขนานช่วยให้ใช้ความรู้ ประสบการณ์ และสติปัญญาของผู้เข้าร่วมทุกคนได้อย่างเต็มที่ในทุกๆ ด้านของการคิด7. ความแตกต่างระหว่างการใช้หมวกเพื่อ "อ
2025-05-12
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Things No One Taught Us About Love (Vex King) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Things No One Taught Us About Love เขียนโดย Vex King - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/ThingsNoOneTaughtUsAboutLove - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/ThingsNoOneTaughtUsAboutLove - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0DHV398ZK?tag=9natree-20 #ThingsNoOneTaughtUsAboutLove #รีวิวThingsNoOneTaughtUsAboutLove #สรุปThingsNoOneTaughtUsAboutLove #หนังสือThingsNoOneTaughtUsAboutLove 1. ความรักที่แท้จริงคืออะไร? ความรักที่แท้จริงตามแหล่งข้อมูล ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความดึงดูดทางกายภาพหรือการหาคนที่ตอบสนองความต้องการทั้งหมดของคุณเพียงคนเดียว แต่เป็นความรักที่บริสุทธิ์ สร้างแรงบันดาลใจ และดีงาม เป็นความรักที่ช่วยให้คุณรักตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เป็นการถูกรักโดยใครบางคนที่อดทนและเข้าใจ พร้อมที่จะรับฟังและยอมรับความเปราะบางของคุณอย่างอบอุ่น ความรักที่ยั่งยืนคือการยอมรับและเฉลิมฉลองความแตกต่างพอๆ กับความเหมือนกัน ไม่พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงใคร แต่เลือกที่จะเห็นพวกเขาในแบบที่พวกเขาเป็นอย่างมีความสุข ความรักหล่อเลี้ยงเรา เปรียบเสมือนแหล่งน้ำบริสุทธิ์ที่อยู่ในตัวเรา ซึ่งเราสามารถใช้มันเพื่อหล่อ2. เลี้ยงตัวเองและแบ่งปันกับผู้อื่นได้ เหตุใดการรู้จักตัวเองจึงสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี? เป็นเรื่องยากที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นหากคุณยังไม่ได้สร้างความสัมพันธ์กับตัวเอง การรู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้งจะนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่มีสติและมีความสุขมากขึ้น หากปราศจากความเข้าใจในค่านิยมและความเชื่อหลักของคุณ ความสัมพันธ์จะรู้สึกสับสนและไม่มั่นคง การรู้และรักตัวเองอย่างแท้จริงจะช่วยให้คุณสัมผัสประสบการณ์ความรักและความสัมพันธ์ในขีดความสามารถสูงสุด ช่วยให้คุณระบุความสัมพันธ์ที่สะท้อนถึงความรักที่คุณมีให้ตัวเอง และยังช่วยให้คุณมองเห็นผู้อื่นในแง่มุมที่เป็นบวกอย่างไม่มีเงื่อนไข แทนที่จะมองผ่านการตัดสิน เมื่อคุณปล่อยวางเรื่องราวของอัตตาที่จำกัดเกี่ยวกับตัวตนของคุณ พื้นที่สำหรับความรัก ความเมตตา และสติปัญญาจะเปิดเผยขึ้น การรู้และรักตัวเองอย่างแท้จริงจะเสริมสร้างการเชื่อมโยงของคุณ เรายอมรับตัวเอง จากนั้นจึงขยายทัศนคติการยอมรับนั้นไปยังผู้อื่น3. อัตตาหรือ Ego มีบทบาทอย่างไรในความสัมพันธ์ และเราจะเอาชนะเงาของมันได้อย่างไร? อัตตาคือส่วนหนึ่งของตัวเราที่ได้รับการเรียนรู้และปรับสภาพ เป็นส่วนที่ได้รับคำบอกว่าต้องทำอะไรจากผู้ปกครอง เป็นส่วนที่ได้รับการศึกษา เป็นตัวตนที่เราจินตนาการว่าเราควรจะเป็นในเรื่องราว เป็นสิ่งที่เรากลัว และสิ่งที่ทำให้เราตึงเครียด และเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่มีคุณค่า อัตตาเปรียบเสมือนกำแพงป้องกันที่เราสร้างขึ้นในวัยเด็กเพื่อความปลอดภัย แต่สิ่งที่ปกป้องเราในตอนนั้นอาจทำให้เราอ่อนแอลงในตอนนี้ เงาของอัตตาเกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งกีดขวางแสงของเราเอง ซึ่งเป็นอุปสรรคภายในต่อความรัก การเอาชนะเงาของอัตตาไม่ได้หมายถึงการแสวงหาความรัก แต่เป็นการแสวงหาและค้นหาอุปสรรคภายในทั้งหมดที่เราสร้างขึ้นต่อความรัก หากเราสามารถก้าวข้ามภาพลักษณ์ที่จิตใจสร้างขึ้นเกี่ยวกับตัวเองผ่านเรื่องราวและการตัดสิน เราก็จะค้นพบธรรมชาติที่แท้จริงของเรา ซึ่งเป็นตัวตนแห่งความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เหมือนกับดวงอาทิตย์4. ทำไม "ประเภท" หรือ 'Type' ของคนที่เรามักจะดึงดูดอาจไม่ดีสำหรับเรา? หากคุณมี "ประเภท" ที่มักจะนำคุณไปสู่ความเจ็บปวดใจ สิ่งที่คุณมีไม่ใช่แค่ความชอบ แต่เป็นรูปแบบการเลือกคนที่สะท้อนถึงส่วนที่คุณยังไม่ได้รับการเยียวยา เมื่อคุณพิจารณาความสัมพันธ์ในปัจจุบันหรือความสัมพันธ์ที่เป็นไปได้ ให้คิดถึงวิธีที่พวกเขาทำให้คุณรู้สึก คุณสามารถเป็นตัวของตัวเองที่ผ่อนคลายและเปิดเผยได้เมื่ออยู่กับพวกเขา หรือคุณรู้สึกเหมือนต้องแสดง? คุณต้องคิดมากเกี่ยวกับสิ่งที่คุณพูดและทำ หรือคุณสามารถอยู่กับพวกเขาในปัจจุบันขณะได้? รูปแบบของคนที่เราดึงดูดมักจะถูกขับเคลื่อนโดยรูปแบบในอดีต ซึ่งอาจเป็น samskaras หรือรอยประทับทางจิตใจหรืออารมณ์ที่หลงเหลืออยู่จากประสบการณ์ในอดีต สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเราโดยที่เรามักไม่รู้ตัว นอกจากนี้ "halo effect" หรือผลกระทบจากรัศมี ซึ่งเป็นอคติทางความคิดที่ทำให้เรามองเห็นคุณสมบัติเชิงบวกอื่นๆ โดยอิงจากคุณสมบัติที่น่าพึงพอใจเพียงอย่างเดียว ก็อาจทำให้เรามองข้ามสัญญาณเตือนภัยและเลือกคนที่อาจไม่เหมาะสมกับเราได้5. เราจะสร้างความไว้วางใจในความสัมพันธ์ได้อย่างไร และความไว้วางใจเริ่มต้นที่ไหน? ความไว้วางใจเริ่มต้นที่ตัวคุณเอง การมีความเชื่อมั่นในการตัดสินใจของค
2025-05-11
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Good Vibes Good Life How Self-Love Is the Key to Unlocking Your Greatness (Vex King) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Good Vibes Good Life How Self- Love Isthe Keyto Unlocking Your Greatness เขียนโดย Vex King - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/GoodVibesGoodLifeHowSelfLoveIstheKeytoUnlockingYourGreatness - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/GoodVibesGoodLifeHowSelfLoveIstheKeytoUnlockingYourGreatness - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B07C6T7XMW?tag=9natree-20 #GoodVibesGoodLifeHowSelfLoveIstheKeytoUnlockingYourGreatness #รีวิวGoodVibesGoodLifeHowSelfLoveIstheKeytoUnlockingYourGreatness #สรุปGoodVibesGoodLifeHowSelfLoveIstheKeytoUnlockingYourGreatness #หนังสือGoodVibesGoodLifeHowSelfLoveIstheKeytoUnlockingYourGreatness 1. 'Good Vibes, Good Life' กล่าวถึงหลักการสำคัญอะไรในการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น? หนังสือเล่มนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ 'แรงสั่นสะเทือน' และวิธีที่มันส่งผลต่อความเป็นจริงของเรา โดยเชื่อว่าจักรวาลตอบสนองต่อพลังงานที่เราส่งออกไป ซึ่งก็คือแรงสั่นสะเทือนของเรา หากเรามีแรงสั่นสะเทือนที่สูงและเป็นบวก ชีวิตของเราก็จะสะท้อนสิ่งดีๆ กลับมา นอกจากนี้ หนังสือยังกล่าวถึงหลักการที่อยู่เบื้องหลัง 'กฎแห่งแรงดึงดูด' โดยชี้ว่าแรงสั่นสะเทือนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่มักถูกละเลยในการดึงดูดสิ่งที่ต้องการเข้ามาในชีวิต2. อะไรคือความหมายที่แท้จริงของ 'การรักตัวเอง' ตามแหล่งข้อมูลนี้? การรักตัวเองถูกอธิบายว่าเป็นความสมดุลระหว่างการยอมรับตัวเองในแบบที่เราเป็น พร้อมทั้งตระหนักรู้ว่าเราสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่าและมุ่งมั่นพัฒนาตนเองไปสู่สิ่งนั้น มันไม่ใช่ข้ออ้างที่จะหยุดพัฒนา แต่เป็นการรักและเห็นคุณค่าในตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพหรือไม่ก็ตาม การรักตัวเองคือการคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของตัวเองในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่การเลือกอาหารไปจนถึงความสัมพันธ์ส่วนตัว ซึ่งนำไปสู่การยอมรับในตัวเอง การเสริมพลัง และการปลดปล่อยตนเอง3. แหล่งข้อมูลนี้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับ 'พฤติกรรมเชิงบวก' อะไรบ้างเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต? หนังสือแนะนำพฤติกรรมเชิงบวกหลายประการ เช่น การอยู่ร่วมกับผู้คนที่เป็นบวก การปรับภาษากายให้เป็นบวก การหาเวลาพักผ่อน การค้นหาแรงบันดาลใจ การหลีกเลี่ยงการนินทาและดราม่า การใส่ใจเรื่องโภชนาการและน้ำดื่ม การแสดงความรู้สึกขอบคุณ การเรียนรู้อารมณ์ของตนเอง การมีสติอยู่กับปัจจุบัน และการทำสมาธิ พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยในการยกระดับแรงสั่นสะเทือนและสร้างชีวิตที่เป็นบวก4. เหตุใดการหลีกเลี่ยงการนินทาและการวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นจึงมีความสำคัญ? การนินทาและการวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นเกิดจากอีโก้ที่ต้องการรู้สึกดีกับตัวเองหรือเหนือกว่าผู้อื่น ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงการตัดสินผู้อื่น มักมีรากฐานมาจากความเกลียดชังซึ่งเป็นสภาวะแรงสั่นสะเทือนต่ำ การพูดถึงผู้อื่นในแง่ลบเป็นการส่งพลังงานเชิงลบออกไป ทำให้แรงสั่นสะเทือนของตัวเองลดลง และดึงดูดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์เข้ามาในชีวิต การกระทำเหล่านี้ยังส่งผลต่อศูนย์พลังงานหรือจักระในร่างกาย ซึ่งขัดขวางไม่ให้เราเข้าถึงสภาวะแรงสั่นสะเทือนที่สูงขึ้น5. แหล่งข้อมูลนี้มองเรื่อง 'อีโก้' อย่างไร? อีโก้ถูกนิยามว่าเป็นภาพลักษณ์ที่เราสร้างขึ้นจากความคิด ซึ่งเป็นเหมือนหน้ากากทางสังคมที่ต้องการการยอมรับอย่างต่อเนื่องและกลัวที่จะสูญเสียตัวตน อีโก้มักแสวงหาความพึงพอใจในทันที ต้องการรู้สึกสำคัญและได้รับการชื่นชม และต้องการมีอำนาจเหนือผู้อื่น มันเป็นเหตุผลที่คนเราซื้อของที่ไม่จำเป็นเพื่อเอาใจคนที่ไม่สนใจ เป็นเหตุผลที่เราขมขื่นกับความสำเร็จของผู้อื่น เป็นรากฐานของความโลภ และขัดขวางเราจากการกระทำด้วยความรักและความเข้าใจ6. เราจะรับมือกับความคิดและความเชื่อเชิงลบที่อยู่ในจิตใต้สำนึกได้อย่างไร? จิตใต้สำนึกมีบทบาทในการสร้างความเชื่อของเรา ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้และความเป็นจริงของเรา จิตใต้สำนึกเปรียบเสมือนดินที่อุดมสมบูรณ์ที่ดูดซับทุกสิ่งที่ถูกปลูกฝัง ไม่ว่าจะเป็นความคิดเชิงบวกหรือลบ เรามักอนุญาตให้เมล็ดพันธุ์ทั้งดีและร้ายตกลงไป ซึ่งหมายความว่าแนวคิดที่จำกัดศักยภาพมักหยั่งรากในจิตใต้สำนึก เราสามารถเปลี่ยนความคิดและความเชื่อเชิงลบได้โดยการท้าทายความถูกต้องของมัน การตั้งคำถามที่เจาะลึกและแม้กระทั่งคำถามที่รุนแรง เพื่อเปิดเผยข้อจำกัดในการคิด และตระหนักว่าเราสร้างความเศร้าด้วยการเชื่อมโยงบทสรุปเชิงลบเข้ากับประสบการณ์ในอดีต ซึ่งจำเป็นต้องถูกแก้ไขในจิตใต้สำนึก7. แหล่งข้อมูลนี้แนะนำ 'การทำสมาธิ' และ 'การควบคุมลมหายใจ' เพื่ออะไร? การทำสมาธิถูกกล่าวถึงว่าเป็นกระบวนการข
2025-05-11
08 min
9Natree Thailand
[รีวิว] The Let Them Theory (Mel Robbins, Sawyer Robbins) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ The Let Them Theory เขียนโดย Mel Robbins, Sawyer Robbins - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/TheLetThemTheory - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/TheLetThemTheory - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0DKRVYQ17?tag=9natree-20 #TheLetThemTheory #รีวิวTheLetThemTheory #สรุปTheLetThemTheory #หนังสือTheLetThemTheory 1. ทฤษฎี "ปล่อยพวกเขา" คืออะไร และมีแนวคิดหลักอย่างไร? ทฤษฎี "ปล่อยพวกเขา" เป็นแนวคิดที่เสนอโดย Mel Robbins ซึ่งมีแก่นหลักอยู่ที่การปล่อยให้ผู้อื่นเป็นในแบบที่พวกเขาเป็น ตัดสินใจในแบบที่พวกเขาต้องการ และใช้ชีวิตในเส้นทางที่พวกเขาเลือก แม้ว่าเส้นทางนั้นอาจจะไม่มีพื้นที่สำหรับเรา หรือไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง แนวคิดนี้ไม่ใช่การยอมแพ้หรือเฉยชา แต่เป็นการเลือกที่กระตือรือร้นและมีพลังอำนาจที่จะไม่พยายามควบคุมสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ นั่นคือการกระทำ คำพูด ความคิด ความรู้สึก และความคาดหวังของผู้อื่น การนำทฤษฎีนี้มาใช้คือการตระหนักว่าเราใช้เวลาและพลังงานมากเกินไปในการตอบสนอง คิดมาก หรือกังวลเกี่ยวกับคนรอบข้าง ซึ่งทำให้เราสูญเสียพลังอำนาจของตัวเอง2. ทำไมเราถึงมักจะได้รับผลกระทบจากผู้อื่นมากเกินไป และทฤษฎี "ปล่อยพวกเขา" ช่วยได้อย่างไร? แหล่งข้อมูลระบุว่าเรามักจะได้รับผลกระทบจากผู้อื่นมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว เพราะเราเชื่อผิดๆ ว่าการกระทำของเราสามารถควบคุมการตอบสนองและความรู้สึกของพวกเขาได้ เช่น คิดว่าถ้าพูดในสิ่งที่ถูกต้อง คนอื่นจะชอบ หรือถ้าทำงานหนักขึ้น เจ้านายจะเคารพ หรือถ้าทำตามความคาดหวังของครอบครัวและเพื่อน จะมีความสุขภายใน การพยายามทำให้ทุกคนพอใจหรือควบคุมความคิดเห็นของผู้อื่นเป็นวงจรที่เหนื่อยหน่ายและทำให้เรามอบอำนาจของตัวเองให้กับผู้อื่น ทฤษฎี "ปล่อยพวกเขา" ช่วยปลดปล่อยเราจากวงจรนี้ โดยสอนให้เรารู้ว่าความคิดเห็นของผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และการพยายามควบคุมมันมีแต่จะทำให้ชีวิตแย่ลง เมื่อเรายอมให้พวกเขาคิดในแบบที่พวกเขาต้องการ เราก็จะมีอิสระในการใช้ชีวิตในแบบที่เราต้องการ และมุ่งเน้นพลังงานไปที่สิ่งที่เราควบคุมได้3. "ปล่อยพวกเขา" แตกต่างจาก "ปล่อยไปเถอะ" อย่างไร? Mel Robbins เน้นย้ำว่า "ปล่อยพวกเขา" ไม่ใช่ "ปล่อยไปเถอะ" การ "ปล่อยไปเถอะ" เป็นการยอมแพ้ในสิ่งที่รบกวนจิตใจ ซึ่งมักจะทำให้รู้สึกไม่พอใจ เพราะเหมือนกับการเก็บกลั้นความรู้สึกเอาไว้และเดินหน้าต่อไป เป็นการกระทำที่ให้ความรู้สึกไร้อำนาจ ในทางตรงกันข้าม "ปล่อยพวกเขา" เป็นการเลือกที่มีพลังและกระตือรือร้นที่จะอนุญาตให้ผู้อื่นเป็นในแบบที่พวกเขาเป็น เป็นการยอมรับความจริงที่ว่าเราไม่สามารถควบคุมการกระทำหรือความคิดของพวกเขาได้ แต่เราสามารถเลือกวิธีที่เราจะตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้นได้4. ทฤษฎี "ปล่อยพวกเขา" สามารถนำมาใช้ในชีวิตจริงอย่างไรบ้าง? ทฤษฎีนี้สามารถนำมาใช้ได้ในหลายด้านของชีวิต เช่น: ในที่ทำงาน: เมื่อนำเสนอไอเดียแล้วไม่มีคนตอบสนอง แทนที่จะสงสัยในตัวเองและพยายามเปลี่ยนวิธีนำเสนอ ให้ "ปล่อยพวกเขา" แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่สนใจไอเดียนั้น และหันมาให้ความสนใจกับสิ่งที่เราควบคุมได้ เช่น การพัฒนาไอเดียต่อไปหรือหาโอกาสอื่น ในการออกเดท: เมื่อถูกโกสต์ แทนที่จะคิดมากว่าทำอะไรผิดไป ให้ "ปล่อยพวกเขา" แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นใคร การขาดความเคารพของพวกเขาไม่ได้สะท้อนถึงคุณ แต่การตอบสนองของคุณต่างหากที่สะท้อนถึงคุณ และให้มุ่งเน้นที่การจัดการอารมณ์ของตัวเองและตระหนักว่าคุณสมควรได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพ ในความสัมพันธ์: แทนที่จะพยายามเปลี่ยนแปลงคู่ค้า ครอบครัว หรือเพื่อน ให้ "ปล่อยพวกเขา" เป็นในแบบที่พวกเขาเป็น การยอมรับผู้อื่นในแบบที่พวกเขาเป็นคือพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่แข็งแรงและเปี่ยมด้วยความรัก5. ทฤษฎี "ปล่อยพวกเขา" ช่วยให้เราหลุดพ้นจากความกลัวและความลังเลได้อย่างไร? ความกลัวความคิดเห็นของผู้อื่นเป็นสาเหตุสำคัญของความไม่มั่นคงในตนเอง ความลังเล การผัดวันประกันพรุ่ง การคิดมากเกินไป และความกลัวที่จะเสี่ยง เมื่อเรากลัวว่าคนอื่นจะคิดหรือพูดอะไร เรามักจะจำกัดศักยภาพของตัวเองและป้องกันตัวเองจากการทำสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง ทฤษฎี "ปล่อยพวกเขา" สอนให้เรายอมรับความจริงว่าจะมีผู้ใหญ่บางคนที่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเราเสมอไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เมื่อเรายอมให้พวกเขาคิดในแบบที่พวกเขาต้องการ เราก็จะมีอิสระในการลงมือทำสิ่งที่เราต้องการโดยไม่ต้องกังวลถึงคำตัดสิน ซึ่งช่วยเพิ่มความกล้าหาญและทำให้เรามุ่งเน้นไปที่การไล่ตามความฝันของเรา6. เราจะใช้ทฤษฎี "ปล่อยพวกเขา" เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นได้อย่างไร
2025-05-11
09 min
9Natree Thailand
[รีวิว] Ultra-ProcessedPeople (Chris Van Tulleken) สรุปหนังสือ
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังสือ Ultra-ProcessedPeople เขียนโดย Chris Van Tulleken - พิกัด Lazada/Shopee: https://9natree.top/book/UltraProcessedPeople - พิกัด Kinokuniya: https://9natree.top/p/Kinokuniya/UltraProcessedPeople - Kindle [EN] : https://www.amazon.com/dp/B0B1TRPQCT?tag=9natree-20 #UltraProcessedPeople #รีวิวUltraProcessedPeople #สรุปUltraProcessedPeople #หนังสือUltraProcessedPeople 1. อาหารแปรรูปขั้นสูง คืออะไร และแตกต่างจากอาหารอื่นๆ อย่างไร? อาหารแปรรูปขั้นสูง เป็นมากกว่าอาหารแปรรูปง่ายๆ โดยมีส่วนผสมที่ไม่ได้นำมาใช้ในครัวเรือนหรือไม่ได้ผลิตขึ้นตามปกติ โดยมีส่วนผสมที่ใช้เพื่อเลียนแบบคุณสมบัติของส่วนผสมจริงหรือยืดอายุการเก็บรักษา เช่น กัมหลายชนิด สารอิมัลซิไฟเออร์ และสารแต่งกลิ่นรส ส่วนผสมเหล่านี้อาจมาจากกระบวนการทางเคมีที่ซับซ้อน หรือแม้แต่เป็นผลิตผลของแบคทีเรีย เช่น แซนแทนกัม ซึ่งมาจากเมือกที่แบคทีเรียผลิตขึ้นเพื่อเกาะติดกับพื้นผิว UPF แตกต่างจากอาหารแปรรูปน้อยกว่า เช่น ขนมปัง Sourdough แท้ๆ หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่ผ่านกระบวนการขั้นต่ำ โดย UPF มักถูกออกแบบมาให้อ่อนนุ่ม กลืนง่าย และมีแคลอรี่สูง ทำให้เราสามารถกินได้เร็วขึ้นและปริมาณมากขึ้น โดยไม่กระตุ้นสัญญาณ "หยุดกิน" ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่ากับอาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการ ระบบการจำแนก NOVA ช่วยให้นิยาม UPF ได้ดีขึ้น โดยเน้นที่วัตถุประสงค์ของการผลิตอาหาร เช่น การสร้างขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ไม่สนใจสุขภาพของเรา2. อะไรคือข้อกังวลด้านสุขภาพที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค UPF? การบริโภค UPF ในปริมาณมากมีความเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพที่หลากหลาย รวมถึงภาวะอ้วน โรคเบาหวานประเภท 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด และปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคลำไส้อักเสบ UPF อาจรบกวนการควบคุมความอยากอาหารตามธรรมชาติของร่างกาย เนื่องจากความนุ่มนวล ความหนาแน่นของพลังงาน และสารแต่งกลิ่นรสที่กระตุ้นการรับรู้ โดยไม่กระตุ้นกลไกความอิ่มที่เหมาะสม นอกจากนี้ สารเติมแต่งใน UPF โดยเฉพาะสารอิมัลซิไฟเออร์ อาจเปลี่ยนแปลง microbiome ในลำไส้ ซึ่งอาจนำไปสู่การอักเสบและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคเรื้อรัง แม้ว่ากลไกที่แน่นอนยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ร่างกายงานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการบริโภค UPF กับผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ไม่พึงประสงค์3. การบริโภค UPF อาจเกี่ยวข้องกับการเสพติดอาหารอย่างไร? แหล่งที่มาเสนอแนวคิดว่า UPF อาจมีลักษณะที่ทำให้เสพติดได้ แม้ว่าแนวคิด "การเสพติดอาหาร" จะไม่เป็นที่นิยมในวงการวิทยาศาสตร์ในบางส่วนก็ตาม คำถามสำหรับการทดสอบ Yale Food Addiction Scale เกี่ยวข้องกับลักษณะการบริโภค UPF หลายอย่าง เช่น การกินในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ความพยายามที่ไม่สำเร็จในการควบคุมการบริโภค การใช้เวลาและแรงงานจำนวนมากในการหาอาหาร และความรู้สึกอยากอย่างรุนแรง ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือการบริโภคยังคงดำเนินต่อไปแม้จะทราบถึงปัญหาทางกายภาพหรือจิตใจที่เกิดจากอาหาร การรวมกันของสารอาหารหลักในอาหารที่น่ารับประทานซึ่งไม่เกิดขึ้นตามธรรมชาติสามารถกระตุ้นวงจรแรงจูงใจในสมองได้รุนแรงเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคในภายหลัง กลไกที่ UPF หลีกเลี่ยงสัญญาณ "หยุดกิน" ตามปกติ และความสัมพันธ์ระหว่างรสชาติและรางวัลอาจมีส่วนในลักษณะที่คล้ายกับการเสพติดนี้4. บทบาทของสารเติมแต่ง เช่น สารอิมัลซิไฟเออร์และกัมใน UPF คืออะไร และส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราอย่างไร? สารเติมแต่งมีมากมายและมีความหลากหลายใน UPF เช่น สารอิมัลซิไฟเออร์ กัม สารแต่งกลิ่นรส และสารให้ความหวาน สารเหล่านี้มักใช้เพื่อแทนที่ส่วนผสมที่แพงกว่า ปรับปรุงพื้นผิว ยืดอายุการเก็บรักษา หรือปรับปรุงรสชาติและความน่ารับประทาน อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานว่าสารเติมแต่งเหล่านี้บางชนิด เช่น สารอิมัลซิไฟเออร์และแซนแทนกัม สามารถเปลี่ยนแปลง microbiome ในลำไส้ ตัวอย่างเช่น แซนแทนกัมที่น่าสะอิดสะเอียน ซึ่งเป็นเมือกแบคทีเรีย สามารถกลายเป็นอาหารสำหรับแบคทีเรียชนิดใหม่ในลำไส้มนุษย์ เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของ microbiome และอาจมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกัน ผลกระทบเต็มรูปแบบของสารเติมแต่งเหล่านี้ต่อสุขภาพของมนุษย์ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่การวิจัยบ่งชี้ถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับระบบทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน5. การรับรู้รสชาติและกลิ่นรสของเรามีอิทธิพลต่อการบริโภค UPF อย่างไร? รสชาติ และกลิ่นรส มีความเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อนในการรับรู้รสชาติโดยรวมของเรา UPF มักจะถูกออกแบบมาอย่างชาญฉลาดเพื่อกระตุ้นความรู้สึกทางประสาทสัมผัสที่น่าพอใจผ่านการใช้ส
2025-05-11
08 min
9Natree Spanish
[Reseña] Un clavado a tu cerebro (Dr. Eduardo Calixto) Resumida.
Un clavado a tu cerebro (Dr. Eduardo Calixto) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B01MY7027I?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Un-clavado-a-tu-cerebro-Dr-Eduardo-Calixto.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/un-clavado-a-tu-cerebro/id1494386823?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Un+clavado+a+tu+cerebro+Dr+Eduardo+Calixto+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/re...
2025-04-09
06 min
9Natree Spanish
[Reseña] El cuerpo lleva la cuenta (Bessel van der Kolk M.D.) Resumida.
El cuerpo lleva la cuenta (Bessel van der Kolk M.D.) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/8412067193?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/El-cuerpo-lleva-la-cuenta-Bessel-van-der-Kolk-M-D.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/resumen-completo-el-cuerpo-lleva-la-cuenta-the/id1555849714?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=El+cuerpo+lleva+la+cuenta+Bessel+van+der+Kolk+M+D+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: ht...
2025-04-07
06 min
9Natree Spanish
[Reseña] La terquedad de las estrellas (Lara Beli) Resumida.
La terquedad de las estrellas (Lara Beli) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B07FD7BR15?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/La-terquedad-de-las-estrellas-Lara-Beli.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/la-terquedad-de-las-estrellas/id1677404715?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=La+terquedad+de+las+estrellas+Lara+Beli+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B07FD...
2025-03-17
06 min
9Natree Spanish
[Reseña] La conciencia contada por un sapiens a un neandertal (Juan José Millás) Resumida.
La conciencia contada por un sapiens a un neandertal (Juan José Millás) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/8420471224?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/La-conciencia-contada-por-un-sapiens-a-un-neandertal-Juan-Jos-Mill-s.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/la-conciencia-contada-por-un-sapiens-a/id1775787829?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=La+conciencia+contada+por+un+sapiens+a+un+neandertal+Juan+Jos+Mill+s+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - L...
2025-03-17
06 min
9Natree Spanish
[Reseña] La rueda de la vida (Elisabeth Kübler-Ross) Resumida.
La rueda de la vida (Elisabeth Kübler-Ross) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/8496581101?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/La-rueda-de-la-vida-Elisabeth-K-bler-Ross.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/la-rueda-de-la-vida/id1622467167?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=La+rueda+de+la+vida+Elisabeth+K+bler+Ross+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/8496581101/
2025-03-05
08 min
9Natree Spanish
[Reseña] Los hombres son de Marte, las mujeres de Venus (John Gray) Resumida.
Los hombres son de Marte, las mujeres de Venus (John Gray) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/8499085539?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Los-hombres-son-de-Marte-las-mujeres-de-Venus-John-Gray.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/los-hombres-son-de-marte-las-mujeres-son-de-venus/id1476634341?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Los+hombres+son+de+Marte+las+mujeres+de+Venus+John+Gray+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: ht...
2025-02-14
07 min
9Natree Spanish
[Reseña] Vivir Con Abundancia (Sergio Fernández López) Resumida.
Vivir Con Abundancia (Sergio Fernández López) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/8416256462?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Vivir-Con-Abundancia-Sergio-Fern-ndez-L-pez.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/ley-de-la-atraccion-para-hombres-y-mujeres-nivel/id1680861704?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Vivir+Con+Abundancia+Sergio+Fern+ndez+L+pez+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/8416256462/ #abun...
2025-02-03
07 min
9Natree Spanish
[Reseña] Maneras de amar (Amir Levine) Resumida.
Maneras de amar (Amir Levine) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B0944BMGJM?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Maneras-de-amar-Amir-Levine.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/maneras-de-amar/id1589939178?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Maneras+de+amar+Amir+Levine+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B0944BMGJM/ #apegoadulto #estilodeapego #re...
2025-02-01
05 min
9Natree Spanish
[Reseña] Las mujeres que aman demasiado (Robin Norwood) Resumida.
Las mujeres que aman demasiado (Robin Norwood) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B0076ZF6S8?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Las-mujeres-que-aman-demasiado-Robin-Norwood.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/las-mujeres-que-aman-demasiado/id1461727084?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Las+mujeres+que+aman+demasiado+Robin+Norwood+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B0076ZF...
2025-01-29
08 min
9Natree Spanish
[Reseña] Liderazgo. El poder de la inteligencia emocional (Daniel Goleman) Resumida.
Liderazgo. El poder de la inteligencia emocional (Daniel Goleman) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B00CSTTOKI?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Liderazgo-El-poder-de-la-inteligencia-emocional-Daniel-Goleman.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/liderazgo-el-poder-de-la-inteligencia-emocional/id1482320545?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Liderazgo+El+poder+de+la+inteligencia+emocional+Daniel+Goleman+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.to...
2025-01-26
09 min
9Natree Spanish
[Reseña] Lee a las personas como un libro (Patrick King) Resumida.
Lee a las personas como un libro (Patrick King) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B094NPLB14?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Lee-a-las-personas-como-un-libro-Patrick-King.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/lee-a-las-personas-como-un-libro-read-people-like/id1569076892?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Lee+a+las+personas+como+un+libro+Patrick+King+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.to...
2025-01-23
09 min
9Natree Spanish
[Reseña] El arte de realizar tus deseos: El sentimiento es el secreto (Neville Goddard) Resumida.
El arte de realizar tus deseos: El sentimiento es el secreto (Neville Goddard) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B07Q2KTJVY?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/El-arte-de-realizar-tus-deseos-El-sentimiento-es-el-secreto-Neville-Goddard.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/el-sentimiento-es-el-secreto-el-arte-de-realizar-tus-deseos/id1515156376?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=El+arte+de+realizar+tus+deseos+El+sentimiento+es+el+secreto+Neville+Goddard+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&m...
2025-01-21
07 min
9Natree Spanish
[Reseña] Como Vencer El Miedo (Elvis D Beuses) Resumida.
Como Vencer El Miedo (Elvis D Beuses) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B06X6F1R8W?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Como-Vencer-El-Miedo-Elvis-D-Beuses.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/c%C3%B3mo-vencer-el-miedo-y-la-ansiedad-gu%C3%ADa-definitiva/id1576916889?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Como+Vencer+El+Miedo+Elvis+D+Beuses+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee m...
2025-01-17
08 min
9Natree Spanish
[Reseña] Vivir sin miedos (Sergio Fernández) Resumida.
Vivir sin miedos (Sergio Fernández) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B01IBP9UIS?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Vivir-sin-miedos-Sergio-Fern-ndez.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/vivir-sin-miedos-c%C3%B3mo-superar-traumas-y-situaciones/id1741480541?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Vivir+sin+miedos+Sergio+Fern+ndez+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B01...
2025-01-17
06 min
9Natree Spanish
[Reseña] Memoria (Álvaro Asensio) Resumida.
Memoria (Álvaro Asensio) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B01F70004S?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Memoria-lvaro-Asensio.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/memoria-de-mis-putas-tristes/id1443255009?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Memoria+lvaro+Asensio+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B01F70004S/ #memoria #técnicasdememoria #mejorarmemoria #ejer...
2025-01-15
07 min
9Natree Spanish
[Reseña] Sorprende a tu mente (Ana Ibáñez) Resumida.
Sorprende a tu mente (Ana Ibáñez) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B0BYK4PRHW?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Sorprende-a-tu-mente-Ana-Ib-ez.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/sorprende-a-tu-mente/id1748098197?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Sorprende+a+tu+mente+Ana+Ib+ez+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B0BY...
2025-01-08
04 min
9Natree Spanish
[Reseña] El poder de tu mente subconsciente (Dr. Joseph Murphy) Resumida.
El poder de tu mente subconsciente (Dr. Joseph Murphy) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B006DISIKW?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/El-poder-de-tu-mente-subconsciente-Dr-Joseph-Murphy.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/el-poder-de-la-mente-subconsciente-aprende-a/id1580718392?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=El+poder+de+tu+mente+subconsciente+Dr+Joseph+Murphy+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://li...
2025-01-07
04 min
9Natree Spanish
[Reseña] El sistema Hanasaki (Marcos Cartagena) Resumida.
El sistema Hanasaki (Marcos Cartagena) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B07N7JWD3M?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/El-sistema-Hanasaki-Marcos-Cartagena.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/el-sistema-hanasaki-los-nueve-pilares-de-japo-n/id1500474008?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=El+sistema+Hanasaki+Marcos+Cartagena+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B07N7JWD3M...
2025-01-06
04 min
9Natree Spanish
[Reseña] Vivir la vida con sentido (Victor Küppers) Resumida.
Vivir la vida con sentido (Victor Küppers) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B01IBPRWCE?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Vivir-la-vida-con-sentido-Victor-K-ppers.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/vivir-la-vida-con-sentido-actitudes-para-vivir-con/id1252748604?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Vivir+la+vida+con+sentido+Victor+K+ppers+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/rea...
2025-01-06
03 min
9Natree Spanish
[Reseña] La dieta de la longevidad (Valter D. Longo) Resumida.
La dieta de la longevidad (Valter D. Longo) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B071ZTDRWQ?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/La-dieta-de-la-longevidad-Valter-D-Longo.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/la-dieta-de-la-longevidad/id1729936640?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=La+dieta+de+la+longevidad+Valter+D+Longo+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/re...
2024-12-31
03 min
9Natree Spanish
[Reseña] Transforma las heridas de tu infancia (Anamar Orihuela) Resumida.
Transforma las heridas de tu infancia (Anamar Orihuela) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B01IS0AZZ8?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Transforma-las-heridas-de-tu-infancia-Anamar-Orihuela.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/transforma-las-heridas-de-tu-infancia/id1495403021?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Transforma+las+heridas+de+tu+infancia+Anamar+Orihuela+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.to...
2024-12-30
04 min
9Natree Spanish
[Reseña] El arte de no amargarse la vida (Rafael Santandreu) Resumida.
El arte de no amargarse la vida (Rafael Santandreu) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B078XMQY3Q?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/El-arte-de-no-amargarse-la-vida-Rafael-Santandreu.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/el-arte-de-no-amargarse-la-vida-edici%C3%B3n-ampliada/id1606246156?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=El+arte+de+no+amargarse+la+vida+Rafael+Santandreu+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - L...
2024-12-29
04 min
9Natree Spanish
[Reseña] Lecciones de liderazgo creativo (Robert Iger) Resumida.
Lecciones de liderazgo creativo (Robert Iger) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B081FKR73W?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Lecciones-de-liderazgo-creativo-Robert-Iger.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/lecciones-de-liderazgo-creativo/id1727661686?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Lecciones+de+liderazgo+creativo+Robert+Iger+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B081FKR73W...
2024-12-27
04 min
9Natree Spanish
[Reseña] Sin miedo (Rafael Santandreu) Resumida.
Sin miedo (Rafael Santandreu) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B093XVPLGG?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Sin-miedo-Rafael-Santandreu.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/sin-miedo/id1569713835?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Sin+miedo+Rafael+Santandreu+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B093XVPLGG/ #ansiedad #manejodelmiedo #hibocondría...
2024-12-27
04 min
9Natree Spanish
[Reseña] La Guerra del Arte (Steven Pressfield) Resumida.
La Guerra del Arte (Steven Pressfield) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B00D6DQFYS?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/La-Guerra-del-Arte-Steven-Pressfield.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/el-libro-de-los-cinco-anillos-el-arte-de-la-guerra-del-samurai/id1519041571?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=La+Guerra+del+Arte+Steven+Pressfield+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B00D6DQ...
2024-12-26
04 min
9Natree Spanish
[Reseña] El camino del artista (Julia Cameron) Resumida.
El camino del artista (Julia Cameron) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B00634IUSQ?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/El-camino-del-artista-Julia-Cameron.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/el-camino-del-artista-the-artists-way/id1488979986?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=El+camino+del+artista+Julia+Cameron+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B00634IUSQ/
2024-12-24
05 min
9Natree Spanish
[Reseña] Aprende como Einstein (Steve Allen) Resumida.
Aprende como Einstein (Steve Allen) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B0755QP8G2?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Aprende-como-Einstein-Steve-Allen.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/aprende-como-einstein-memoriza-m%C3%A1s-enf%C3%B3cate-mejor-y/id1546204230?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Aprende+como+Einstein+Steve+Allen+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.to...
2024-12-24
04 min
9Natree Spanish
[Reseña] EnCambio (Estanislao Bachrach) Resumida.
EnCambio (Estanislao Bachrach) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B00YNT00KY?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/EnCambio-Estanislao-Bachrach.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/encambio/id1444555424?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=EnCambio+Estanislao+Bachrach+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B00YNT00KY/ #Neuroplasticidad #Cambiodehábitos #Ges...
2024-12-23
04 min
9Natree Spanish
[Reseña] Menudas historias de la Historia (Nieves Concostrina) Resumida.
Menudas historias de la Historia (Nieves Concostrina) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/8497349822?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Menudas-historias-de-la-Historia-Nieves-Concostrina.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/menudas-historias-de-la-historia-an%C3%A9cdotas/id1258266959?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Menudas+historias+de+la+Historia+Nieves+Concostrina+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/8497349822/
2024-12-21
04 min
9Natree Spanish
[Reseña] Terapia para llevar (Ana Pérez) Resumida.
Terapia para llevar (Ana Pérez) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B0C3P9CZHY?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Terapia-para-llevar-Ana-P-rez.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/terapia-para-llevar/id1759988195?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Terapia+para+llevar+Ana+P+rez+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B0C3P...
2024-12-19
04 min
9Natree Spanish
[Reseña] Construye tu destino (Wayne W. Dyer) Resumida.
Construye tu destino (Wayne W. Dyer) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B00UAYO6RY?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Construye-tu-destino-Wayne-W-Dyer.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/construye-tu-destino/id1508636210?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Construye+tu+destino+Wayne+W+Dyer+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B00UAYO6RY...
2024-12-19
05 min
9Natree Spanish
[Reseña] Calma emocional (Bernardo Stamateas) Resumida.
Calma emocional (Bernardo Stamateas) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B07B2J7NM7?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Calma-emocional-Bernardo-Stamateas.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/calma-emocional/id1480837544?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Calma+emocional+Bernardo+Stamateas+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B07B2J7NM7/
2024-12-18
04 min
9Natree Spanish
[Reseña] Detox emocional (Ana Vico) Resumida.
Detox emocional (Ana Vico) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B07X7H1TYC?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Detox-emocional-Ana-Vico.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/detox-emocional/id1441915962?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Detox+emocional+Ana+Vico+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B07X7H1TYC/
2024-12-18
05 min
9Natree Spanish
[Reseña] El Poder de la Gratitud (Marc Reklau) Resumida.
El Poder de la Gratitud (Marc Reklau) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B07P83LXD3?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/El-Poder-de-la-Gratitud-Marc-Reklau.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/el-poder-de-la-gratitud/id1644443162?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=El+Poder+de+la+Gratitud+Marc+Reklau+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B0...
2024-12-17
05 min
9Natree Spanish
[Reseña] Esto es agua (David Foster Wallace) Resumida.
Esto es agua (David Foster Wallace) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/8439729391?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Esto-es-agua-David-Foster-Wallace.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/esto-es-agua/id1443255626?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Esto+es+agua+David+Foster+Wallace+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/8439729391/ #DavidFosterWallace #empatía #edu...
2024-12-11
05 min
9Natree Spanish
[Reseña] Como Aprender A Hablar Bien (Alvaro Asensio) Resumida.
Como Aprender A Hablar Bien (Alvaro Asensio) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B01E3ILC6U?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Como-Aprender-A-Hablar-Bien-Alvaro-Asensio.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/c%C3%B3mo-aprender-a-hablar-bien-how-to-learn-to-speak/id1645192537?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Como+Aprender+A+Hablar+Bien+Alvaro+Asensio+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: ht...
2024-12-11
04 min
9Natree Spanish
[Reseña] Padre Rico, padre Pobre (Robert T. Kiyosaki) Resumida.
Padre Rico, padre Pobre (Robert T. Kiyosaki) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/8466373004?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Padre-Rico-padre-Pobre-Robert-T-Kiyosaki.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/padre-rico-padre-pobre-ed-25-aniv/id1445231366?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Padre+Rico+padre+Pobre+Robert+T+Kiyosaki+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/8466373004/ #ed...
2024-12-01
06 min
9Natree Spanish
[Reseña] La vida contada por un sapiens a un neandertal (Juan José Millás) Resumida.
La vida contada por un sapiens a un neandertal (Juan José Millás) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/8420439657?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/La-vida-contada-por-un-sapiens-a-un-neandertal-Juan-Jos-Mill-s.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/la-vida-contada-por-un-sapiens-a-un/id1534947239?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=La+vida+contada+por+un+sapiens+a+un+neandertal+Juan+Jos+Mill+s+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1
2024-11-30
05 min
9Natree Spanish
[Reseña] El Hombre en busca de Sentido (Viktor Emil Frankl) Resumida.
El Hombre en busca de Sentido (Viktor Emil Frankl) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/8425432022?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/El-Hombre-en-busca-de-Sentido-Viktor-Emil-Frankl.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/el-hombre-en-busca-de-sentido/id1479906787?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=El+Hombre+en+busca+de+Sentido+Viktor+Emil+Frankl+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/re...
2024-11-30
05 min
9Natree Spanish
[Reseña] Invicto (Marcos Vázquez) Resumida.
Invicto (Marcos Vázquez) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/8409202581?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Invicto-Marcos-V-zquez.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/invicto/id1578767703?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Invicto+Marcos+V+zquez+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/8409202581/ #autoayuda #saludmental #resiliencia #reduccióndelestrés #mejoraderendimiento #Invic...
2024-11-28
04 min
9Natree Spanish
[Reseña] Un paso por delante de Wall Street (Peter Lynch) Resumida.
Un paso por delante de Wall Street (Peter Lynch) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/8423417131?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Un-paso-por-delante-de-Wall-Street-Peter-Lynch.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/un-paso-por-delante-de-wall-street/id1539310190?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Un+paso+por+delante+de+Wall+Street+Peter+Lynch+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/re...
2024-11-27
05 min
9Natree Spanish
[Reseña] Vendes o vendes (Grant Cardone) Resumida.
Vendes o vendes (Grant Cardone) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/8466371796?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Vendes-o-vendes-Grant-Cardone.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/vendes-o-vendes/id1476943430?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Vendes+o+vendes+Grant+Cardone+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/8466371796/ #técnicasdeventa #superaciónderechazo #estrategiasdepersuasión #de...
2024-11-27
05 min
9Natree Spanish
[Reseña] Recupera tu mente, reconquista tu vida (Marian Rojas Estapé) Resumida.
Recupera tu mente, reconquista tu vida (Marian Rojas Estapé) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/846707132X?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Recupera-tu-mente-reconquista-tu-vida-Marian-Rojas-Estap.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/recupera-tu-mente-reconquista-tu-vida/id1739076118?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Recupera+tu+mente+reconquista+tu+vida+Marian+Rojas+Estap+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top...
2024-11-24
05 min
9Natree Spanish
[Reseña] El poder de creer en ti (Daniel J. Martin) Resumida.
El poder de creer en ti (Daniel J. Martin) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B099C12G3K?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/El-poder-de-creer-en-ti-Daniel-J-Martin.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/el-poder-de-creer-en-ti-9-pasos-para-aumentar/id1724537590?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=El+poder+de+creer+en+ti+Daniel+J+Martin+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee m...
2024-11-21
05 min
9Natree Spanish
[Reseña] Los secretos de la mente millonaria (T. Harv Eker) Resumida.
Los secretos de la mente millonaria (T. Harv Eker) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/8478086080?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Los-secretos-de-la-mente-millonaria-T-Harv-Eker.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/los-secretos-de-la-mente-millonaria/id1587899489?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Los+secretos+de+la+mente+millonaria+T+Harv+Eker+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/re...
2024-11-18
05 min
9Natree Spanish
[Reseña] Libertad Inmobiliaria (Carlos Galán) Resumida.
Libertad Inmobiliaria (Carlos Galán) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B0BLR58TVX?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Libertad-Inmobiliaria-Carlos-Gal-n.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/la-f%C3%B3rmula-in-el-sistema-definitivo-para-invertir-en/id1553890229?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Libertad+Inmobiliaria+Carlos+Gal+n+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B0BLR...
2024-11-17
04 min
9Natree Spanish
[Reseña] Inteligencia Emocional (Fabián Goleman) Resumida.
Inteligencia Emocional (Fabián Goleman) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/B0BGFHKJP6?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Inteligencia-Emocional-Fabi-n-Goleman.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/inteligencia-emocional-los-21-consejos-y-trucos-m%C3%A1s/id1558825616?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Inteligencia+Emocional+Fabi+n+Goleman+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/B0BGF...
2024-11-16
05 min
9Natree Spanish
[Reseña] Storytelling salvaje (Isra Bravo) Resumida.
Storytelling salvaje (Isra Bravo) - Amazon Español Store: https://www.amazon.es/dp/8413442982?tag=9natree-21 - Amazon Worldwide Store: https://global.buys.trade/Storytelling-salvaje-Isra-Bravo.html - Apple Books: https://books.apple.com/us/audiobook/storytelling-salvaje/id1739569546?itsct=books_box_link&itscg=30200&ls=1&at=1001l3bAw&ct=9natree - eBay: https://www.ebay.com/sch/i.html?_nkw=Storytelling+salvaje+Isra+Bravo+&mkcid=1&mkrid=711-53200-19255-0&siteid=0&campid=5339060787&customid=9natree&toolid=10001&mkevt=1 - Lee más: https://libro.top/read/8413442982/ #storytellingemocional #técnicasnarrativas #conexiónconelpúblico #estructuradelahistoria #poder...
2024-11-14
04 min